จีน-ไทยจัดเสวนา หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง โอกาสเพื่อการค้าการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน เชื่อมโยงการค้า การลงทุน ระหว่างจีน-ภาคเหนือของไทย ชี้เป็นผลดี เพราะมาพร้อมกับนวัตกรรรมและเทคโนโลยีทันสมัย...
เวลา 10.00 น. วันที่ 10 ก.พ. 61 ที่ห้องประชุมโรงแรมดิเอ็มเพรส อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นายเหริน ยี่เซิง กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ ได้จัดเสวนาแถบหนึ่งเส้นทางโอกาสเพื่อการค้าการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ข้ามพรมแดนระหว่างจีนภาคเหนือ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในความร่วมมือกับจีน และความร่วมมือแม่น้ำล้านช้าง-แม่โขง ตลอดจนการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนระหว่างจีนกับภาคเหนือของไทย
พร้อมกับเชิญ นางวิภาวัลย์ วรพุฒิพงค์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ นายชูชีพ พงษ์ไชย หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ นางนวอร เดชสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ ผศ.ดร.ณพศิษฐ์ จักร์พิทักษ์ คณบดี วิทยาลัยนานาชาติ นวัตกรรมและดิจิตอล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เข้ามาร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
นางวิภาวัลย์ วรพุฒิพงค์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่าการที่รัฐบาลของจีนได้กำหนดยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง และความร่วมมือแม่น้ำล้านช้าง-แม่โขง หอการค้าฯ นับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ และใกล้ตัวพวกเราทุกคนมาก ซึ่งเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ยุทธศาสตร์ถือว่าเป็นหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง จีนได้ประกาศไว้ชัดเจนว่า ภายในปี 2021 จีนจะครองสัดส่วนมากกว่า 30% ของ GDP ทั้งโลก ซึ่งโตเป็นสองเท่าของปัจจุบัน ก็จะเป็นยุทธศาสตร์ที่จะส่งผลกระทบกับไทยเรามากที่สุด เพราะจีนกำลังสร้าง economic platform ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมประชากร 4.5 พันล้านคนใน 65 ประเทศของทวีปเอเชีย ยุโรป และ แอฟริกา ผ่านกลไกของธนาคารการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank- AIIB) และกองทุนเส้นทางสายไหม (Silk Road Fund)
...
ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า สิ่งที่หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ มองว่าประโยชน์ที่ภาคเหนือจะได้รับจากยุทธศาสตร์นี้ มี 5 ด้านคือ การเชื่อมโยงด้านการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ที่จะมีการเชื่อมโยงโครงข่ายรถไฟ รถไฟความเร็วสูง สนามบิน ตลอดจนการสนับสนุนด้านการเงินผ่าน ธนาคารการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank- AIIB) และกองทุนเส้นทางสายไหม (Silk Road Fund) การเชื่อมโยงด้านข้อมูลและดิจิตอล ซึ่งจีนมีนโยบายด้าน Internal Plus และ Information Highway หรือทางด่วนข้อมูลข่าวสารที่สอดคล้องกับเรา ที่มุ่งสู่การเป็น Digital Economy และ Smart City การพัฒนาเศรษฐกิจด้านบุคลากร และนักธุรกิจ ซึ่งไทยและจีนมีเป้าหมายในการพัฒนาผู้ประกอบการ Start Up รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจท้องถิ่น และการใช้ประโยชน์จากช่องทางการค้าใหม่ๆ การเชื่อมโยงด้านนโยบาย ซึ่งหลายด้านไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนำนวัตกรรมและดิจิตอลลมาใช้ในการเพิ่มมูลค่าทางด้านเศรษฐกิจ และการเชื่อมโยงระหว่างประชาชน ซึ่งประเด็นนี้สำคัญ เนื่องจากเชียงใหม่มีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมาในอัตราที่สูง ซึ่งจำเป็นที่จะต้องสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนเชิงวัฒนธรรม มิติทางสังคมร่วมกัน รวมถึงให้เกิดการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาด้วย
"กรอบความร่วมมือแม่น้ำล้านช้าง-แม่โขง ที่ถือว่าภาคเหนือตอนบนได้ใช้ประโยชน์จากการใช้แม่น้ำล้านช้าง แม่โขงในการขนส่ง ท่องเที่ยวเชื่อมกับจีนโดยตรง ก็ชัดเจนว่าประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และจีนเห็นพ้องว่าควรจะทำให้อนุภูมิภาคนี้มีความทันสมัย ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม มีความเป็นเลิศด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรมนุษย์ และลดช่องว่างทางการพัฒนาระหว่างกัน ซึ่งในอนาคตอันใกล้ก็จะได้ร่วมกันจัดทำแผนแม่บทด้านความเชื่อมโยงของกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง ซึ่งจะช่วยให้อนุภูมิภาคเชื่อมโยงเข้ากับนโยบายหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทางของจีน หรือ BRI และเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน"นางวิภาวัลย์ กล่าว
ทางด้าน ดร.ดนัยธัญ พงษ์พัชราธรเทพ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กล่าวสรุปว่า ยุทธศาสตร์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยในหลากหลายมิติ ในฐานะของนักวิจัยที่ทำการติดตามศึกษาถึงความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว ระหว่างประเทศไทย-จีนมามากกว่า 10 ปี ได้เห็นถึงวิวัฒนาการความก้าวหน้าในมิติการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างประเทศทั้งสอง ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี มองเห็นยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ใหญ่ที่ประเทศจีนได้นำเสนอ ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้าที่มุ่งหมายที่จะผลักดันธุรกิจเอกชนให้ "ก้าวออกไป"
ขณะเดียวกันก็เชื้อเชิญให้บริษัทเอกชนจากต่างประเทศ "เชิญเข้ามา" ลงทุนและค้าขายในตลาดประเทศจีน และความต่อเนื่องของวิสัยทัศน์นี้สะท้อนภาพออกมาอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดในวันนี้กับยุทธศาตร์ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ซึ่งประเทศจีนให้ความสำคัญกับการเข้าไปร่วมพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานสำคัญกับประเทศต่างๆ ตลอดจนการเปิดเขตทดลองเศรษฐกิจพิเศษในหลายมณฑล ในหลายกลุ่มธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด่านการค้าชายแดนทั้งทางบกและทางทะเล ตามเมืองท่า และเมืองการค้าชายแดนต่างๆ เพื่อทำให้ด่านการค้าชายแดนเหล่านั้นกลายเป็นประตูเชื่อมโยงการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาค
"ในส่วนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการติดตามแนวนโยบายตามกรอบ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ที่รัฐบาลจีนนำมาใช้สนับสนุนส่งเสริมเศรษฐกิจการค้า การลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวนโยบายที่ส่งผลกระทบเชื่อมโยงต่อการค้า การลงทุนกับประเทศไทยและจังหวัดภาคเหนือโดยเฉพาะแนวโน้มของนักลงทุนจีนในต่างประเทศไทย ผ่านการสนับสนุนของรัฐบาลจีนตามยุทธศาสตร์ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง สามารถเห็นเด่นชัดในประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักลงทุนเหล่านี้มิได้มาพร้อมกับเงินทุนมหาศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันทันสมัย จึงเป็นสถานการณ์ที่นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้ความสำคัญ และใช้ความพยายามเพื่อพัฒนาโครงการต่อยอด เพื่อร่วมไปกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที ในฐานะนักวิชาการของสถาบันอุดมศึกษา การติดตามยุทธศาสตร์ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง จึงมิใช่เพียงการรอฟังถ้อยแถลงยุทธศาสตร์ระดับมหภาคที่ทางจีนนำเสนอผ่านสื่อสากล หากแต่ต้องเข้าไปเกาะติดเพื่อศึกษานโยบายในภาคปฏิบัติที่รัฐบาลจีนดำเนินการ แล้วนำมาวิเคราะห์ร่วมกับเอกชน จัดทำแผนงานที่สอดคล้อง ตรงกับยุทธศาสตร์ที่จีนดำเนินการ เพื่อให้ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" นี้ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทยและประชาชนไทย" ดร.ดนัยธัญ กล่าว.
...