อัยการจังหวัดกันทรลักษ์ หอบสำนวนกว่า 2,000 หน้า ส่งฟ้อง "ผู้กองเหน่ง" ผู้ต้องหาคดีฆ่า ผอ.อ้อย ต่อศาล หลังรวบรวมหลักฐานและสำนวน ส่งฟ้อง 11 ข้อหา 13 กระทง เชื่อว่าจะเอาผิดลงโทษผู้ต้องหาได้แน่นอน ขณะที่ แม่ ผอ.อ้อย วอนให้ศาลได้ลงโทษสูงสุด...
เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 5 ม.ค.61 ที่ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายศักดา คล้ายร่มไทร อัยการจังหวัดกันทรลักษ์ พร้อมด้วยพนักงานอัยการ นำสำนวน 4 แฟ้ม จำนวนกว่า 2,000 หน้าในคดีที่ น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ ผอ.อ้อย อายุ 38 ปี ผอ.กองการศึกษา อบต.ชำ อ.กันทรลักษ์ ที่หายตัวไปนาน 3 เดือน กับ 20 วัน ญาติตามหาในป่าจนแถบชายแดนไทย-ลาว จนกระทั่งพบโครงกระดูก เสื้อผ้า นาฬิกา ของ น.ส.จุฑาภรณ์ ในป่าพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จากการส่งกระดูกชิ้นส่วนที่พบไปตรวจดีเอ็นเอ ทราบว่าเป็นกระดูกของ น.ส.จุฑาภรณ์แน่นอน โดยในวันนี้ที่พนักงานอัยการนำสำนวนส่งฟ้องต่อศาล ได้มีพ่อแม่ และญาติของ น.ส.จุฑาภรณ์ ได้มาสังเกตการณ์ที่ศาลด้วย
หลังจากที่พบกระดูกชิ้นส่วนแล้ว ตำรวจชุดสืบสวนและสอบสวน ได้เร่งติดตามรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อให้มีความแน่นหนาในด้านพยานหลักฐาน ให้ครอบคลุมครบถ้วนมากที่สุด ก่อนที่จะส่งฟ้องต่อศาลในวันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเวลาที่จะส่งฟ้อง ซึ่งคำฟ้องพนักงานอัยการได้แจ้งข้อกล่าวหา ร.อ.ศุภชัย ภาโส ผู้ต้องหาที่ 1 ในฐานความผิด คือ ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย, ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป, ร่วมกันลักทรัพย์ หรือรับของโจร, ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันเอาไปเสียหรือยึดไว้ซึ่งบัตรประจำตัวประชาชนของผู้อื่นซึ่งประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ, ร่วมกันปลอมและใช้หรืออ้างเอกสารปลอม, ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ, ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น
...
นายศักดา กล่าวว่า ตอนนี้ ผลการสอบสวนเพิ่มเติม ทางพนักงานสอบสวนได้รวบรวมหลักฐาน และทำสำนวนมาครบถ้วนน่าจะเกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ คดีนี้ เจ้าหน้าที่ไม่มีประจักษ์พยาน แต่มีพยานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ พยานทางโทรศัพท์ หลักฐานการโอนเงิน การติดต่อโรมมิ่งโทรศัพท์ ชี้ให้เห็นว่า ทางผู้ตายและผู้ต้องหา ไปด้วยกันหรือน่าจะไปด้วยกันเพราะสัญญาณโทรศัพท์สามารถจับได้ตลอด การแจ้งข้อหาผู้ต้องหาในเวลานี้ ได้แจ้งไว้ 11 ข้อหา รวม 13 กระทง โดยมีข้อหาหนักอยู่ที่ฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน นอกจากนั้น ก็มีข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นอันเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย ซึ่งมีโทษถึงประหาชีวิต
อัยการจังหวัดกันทรลักษ์ กล่าวอีกว่า การที่ไม่มีประจักษ์พยาน แต่จากรายละเอียดทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินจากบัญชีของผู้ตายไปยังบัญชีผู้ต้องหา การที่ผู้ต้องหาเข้าไปหลอกญาติว่าผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ การที่ผู้ต้องหานำเอารถของผู้ตายซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมีไว้สำหรับรับส่งลูกไปกลับโรงเรียน ผู้ตายไม่มีเจตนาที่จะขาย และไม่ความเดือดร้อนเรื่องเงินที่จะต้องขายรถ แล้วก็ทราบด้วยว่าใครเป็นคนนำไปขาย และสัญญาณโทรศัพท์ของคนทั้งคู่ก็จับคู่กันตลอด และการใช้สัญญาณไวไฟในสถานที่บางแห่งซึ่งเจ้าของไวไฟไม่ได้อนุญาตให้บุคคลอื่นใช้ มีเพียงผู้ต้องหาคนนี้คนเดียว ซึ่งพบว่ามีเครื่องของ ผอ.อ้อย มีการใช้ไวไฟเครื่องนั้น จึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติ จึงจะนำไปสู่การที่จะให้ศาลพิพากษาลงโทษผู้ต้องหาได้แน่นอน
ขณะที่นางแหลม อุ่นอ่อน แม่ของ น.ส.จุฑาภรณ์ หรือ ผอ.อ้อย กล่าวว่า ถึงวันนี้ ตนก็ยังห่วงหาอาลัย ผอ.อ้อยอยู่ ไม่หายคิดถึง ตอนวันขึ้นปีใหม่ ลูกคนอื่นมาหาแม่กันหมด แต่ไม่มี ผอ.อ้อย มองเห็นหลานซึ่งเขาไม่มีแม่ คิดขึ้นมาทีไร ตนก็ยังน้ำตาไหลทุกครั้ง วันนี้ พนักงานอัยการท่านได้สรุปสำนวนส่งฟ้องต่อศาล ก็อยากจะวอนให้ศาลยุติธรรมได้ตัดสินลงโทษคนที่กระทำความผิดในสถานที่สูงสุด ให้สมกับที่มีจิตใจโหดเหี้ยม ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้หญิงตัวเล็กๆ จึงอยากให้ศาลตัดสินประหารชีวิตให้ตายตกตามกันไป.