จากคดีคนหาย สู่คดีฆาตกรรมสะเทือนหัวอกคนเป็นแม่ หลายคนอาจทราบข่าว “คดีอุ้มฆ่าน้องพลอย” ไปบ้างแล้ว ซึ่งล่าสุด อดีตทหารยศสิบเอก แฟนเก่าน้องพลอย เปิดปากสารภาพว่า ซ้อมเหยื่อจนตายคามือตั้งแต่ 3 ปีก่อน จากนั้นได้อุ้มศพไปโยนทิ้งกลางป่าแก่งคอย
แต่กว่าเรื่องราวน่าสลดนี้จะคลี่คลาย จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่า นางพัชรี ปั้นทอง อายุ 51 ปี ผู้เป็นแม่ของน้องพลอยต้องฝ่าฟัน ผ่านร้อนผ่านหนาว และทนทุกข์กับอะไรมาบ้าง ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ไล่เรียงความแข็งแกร่งของแม่ผู้นี้เอาไว้ ดังต่อไปนี้
- ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา นางพัชรี แม่ของน้องพลอย เดินทางด้วยการนั่งรถไฟ ต่อรถสาธารณะด้วยตัวคนเดียว เพื่อตระเวนร้องทุกข์กับหน่วยงานต่างๆ มากกว่า 10 แห่ง อาทิ กระทรวงยุติธรรม, สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี, มูลนิธิกระจกเงา, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กองทัพบก, ศูนย์ราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา, สื่อมวลชนแขนงต่างๆ, ศูนย์การทหารปืนใหญ่ลพบุรี (ที่ทำงานเก่าของผู้ก่อเหตุ), กองบังคับการปราบปราม
...
- นางพัชรี แม่ของน้องพลอย เริ่มต้นออกตามหาลูกสาวอันเป็นที่รักด้วยตนเอง โดยการไปสอบถามจากชาวบ้านในละแวกที่ลูกสาวหายตัวไป ได้ความว่า ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือ แต่ชาวบ้านคิดว่าอาจจะเป็นผัวเมียทะเลาะกัน จึงไม่ได้ออกไปช่วยเหลือ หลังได้ข้อมูลจากชาวบ้านมาเบื้องต้น ผู้เป็นแม่จึงเดินหาหลักฐานบริเวณที่ลูกสาวหายตัวไป จนไปพบกุญแจรถจักรยานยนต์ของลูกสาว
- ตลอดระยะเวลาที่ลูกสาวหายตัวไป ผู้เป็นแม่ได้พยายามโทรติดต่อ นายพลกฤต วิเศษ หรือเอส อายุ 29 ปี อดีตทหารยศสิบเอก และเป็นอดีตแฟนหนุ่มของลูกสาวมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถติดต่อได้ แต่ในช่วงแรกๆ ที่น้องพลอยหายไป นายเอสได้โทรมาหาแม่ พร้อมกับสอบถามว่า พลอยหายไปหรือ ผู้เป็นแม่จึงตอบไปว่า “กำลังตามน้องอยู่ เอสเอาน้องไปไหม (นายเอสเงียบไปชั่วครู่) ถ้าเอาน้องไป เรามาคุยกันนะ มาคุยกันอย่างลูกผู้ชาย จากนั้นนายเอสตอบว่า ก็ไม่รู้สินะ พร้อมกดวางสาย และติดต่อไม่ได้อีกเลย”
- ในช่วงที่ลูกสาวหายตัวไป ผู้เป็นแม่เดินทางไปตามสถานีตำรวจหลายแห่ง เพื่อไปฝากเรื่องว่า ลูกสาวของตนเองนั้นหายไป หากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบบุคคล หรือศพที่มีลักษณะใกล้เคียงกับน้องพลอย ให้ติดต่อเข้ามาที่ตน ตนจะเดินทางไปดูว่าบุคคล หรือศพนั้นๆ ใช่ลูกของตนหรือไม่
- นางพัชรี ผู้เป็นแม่ สืบเสาะจนพบว่า รถที่นายเอสใช้ก่อเหตุ ถูกนำไปฝากขายไว้ที่เต็นท์รถแห่งหนึ่ง (ฝากขายหลังจากน้องพลอยหายไปได้เพียง 2 วัน) โดยพ่อของนายเอสให้เหตุผลว่า ลูกชายหมุนเงินไม่ทัน จึงต้องนำรถไปขาย เมื่อผู้เป็นแม่รู้เช่นนั้น จึงรีบไปบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจให้รับทราบ
- นางพัชรี ผู้เป็นแม่ สืบเสาะจนทราบว่า ตลอดระยะเวลาที่นายเอสหายออกไปจากบ้านของตัวเอง ผู้เป็นพ่อยืนยันว่า ติดต่อลูกชายของตัวเองไม่ได้ เขาเองก็เครียดเช่นกัน แต่ต่อมาแม่น้องพลอยสืบเสาะจนทราบว่า ในช่วงที่พ่อของนายเอสยืนยันว่าลูกชายหายไป แต่กลับมีหลักฐานว่าพ่อลูกคู่นี้ มีการทำธุรกรรมทางการเงินร่วมกัน
- นางพัชรี ผู้เป็นแม่ ยังสืบเสาะจนทราบอีกว่า น้องพลอยหายตัวไปในบริเวณใด, หายไปด้วยรถคันไหน, น้องพลอยเดินทางไปถึงสิ้นสุดที่พิกัดใด และนำข้อมูลที่ได้มาทั้งหมดไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยผู้เป็นแม่เล่าให้สื่อมวลชนฟังว่า “แม่หาเองทุกอย่าง หาแล้วก็เอาข้อมูลไปให้ตำรวจ”
...
- 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งตอนเช้าและตอนเย็นของทุกๆ วัน แม่ของน้องพลอยจะส่งข้อความไปอรุณสวัสดิ์และบอกราตรีสวัสดิ์ลูกสาวตลอด เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ก่อนจะนอนหรือก่อนจะไปไหน ทั้งคู่จะต้องบอกกันอยู่เสมอ โดยผู้เป็นแม่เล่าว่า ส่งข้อความไปหาลูกสาวจนโทรศัพท์เสียไปเครื่องหนึ่ง
- ภายหลังจากที่น้องพลอยหายตัวไป ผู้เป็นแม่ยังคอยดูแลทำความสะอาดห้องน้องพลอยไว้เป็นอย่างดี เพราะเชื่อว่าวันหนึ่งน้องจะต้องกลับมา
- แม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า “ครั้งหนึ่งเคยคิดจะไปยืนให้รถเหยียบ วิ่งให้รถชน ให้ตกเป็นข่าว เพื่อจะได้มีคนมาถามว่าทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร และถ้าทุกคนได้รู้เหตุผลที่เราทำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ช่วยกันออกตามหาลูก”
- เหตุผลที่แม่น้องพลอยมุมานะบากบั่นตามหาลูกสาวตลอดระยะเวลา 3 ปี โดยไม่ย่อท้อ คือ “หากวันหนึ่งเราได้พบลูก ไม่ว่าจะในสภาพใด เราจะได้ไม่เสียใจว่าที่ผ่านมา แม่คนนี้ได้ช่วยลูกอย่างเต็มที่แล้ว (ร้องไห้)” นางพัชรี กล่าว.
...