ทนายสงกานต์ แนะหากเจอแท็กซี่ล้อมรถ อย่าไปกลัว แจ้งความฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวได้เลย พร้อมถ่ายคลิปวิดีโอเป็นหลักฐาน ถ้าโดนยึดโทรศัพท์ไม่ให้ถ่าย ก็ผิดฐานชิงทรัพย์ด้วย ด้านผู้เสียหาย เผย เจออีกรอบ ใช้กฎหมายเล่นงานแน่
เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 60 นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ หรือ ทนายสงกานต์ เปิดเผยกับ ‘ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์’ ว่า กรณีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จาก แท็กซี่ที่ล้อมรถยนต์ส่วนบุคคล ไม่ให้ไปไหน คิดว่าเป็นอูเบอร์ (uber) สามารถแจ้งความเอาผิดได้ เพราะเข้าข่ายความผิดอาญา ฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว มาตรา 310 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ยังสามารถถ่ายคลิปวิดีโอเป็นหลักฐานเอาผิดได้ ไม่ต้องกลัว เพราะเป็นสิทธิของประชาชน ที่จะป้องกันตัวได้ หากไม่พอใจให้ถ่ายวิดีโอ และยึดโทรศัพท์มือถือไป ก็สามารถแจ้งความดำเนินคดี ฐานชิงทรัพย์ได้เช่นกัน
นายสงกานต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีรถอูเบอร์สามารถตรวจสอบได้ไม่ยาก สังเกตได้จากการเข้ามารับ-ส่งผู้โดยสาร หากเข้ามาหลายครั้งจนผิดสังเกต จึงเข้าข่ายรถต้องสงสัย แต่ถ้าหากเดินทางเข้ามานานๆ ครั้ง ก็อาจจะมารับเพื่อนหรือญาติพี่น้องก็ได้ เป็นสิทธิของประชาชนอยู่แล้ว ไม่สามารถเข้าไปทำกิริยาที่ไม่เหมาะสมแบบนี้ได้
นางสาวอริษฐพัชร์ เพื่อไทย หรือ ดีเจเปี๊ยก นักจัดรายการชื่อดังเมืองเชียงใหม่ ผู้เสียหาย จากแท็กซี่ล้อมรถที่สนามบินเชียงใหม่ กล่าวว่า รู้สึกตกใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเป็นเพียงเอเจนต์ ที่เข้ามารับคู่ค้าชาวต่างชาติเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรที่ขัดต่อกฎหมาย ที่สำคัญ แท็กซี่ที่มารุมล้อมรถ ยังพูดจาไม่ดี เรียกตนเหมือนทำอะไรผิดร้ายแรง จริงๆ แล้วควรจะถามและพูดจาให้ดูสุภาพมากกว่านี้
...
ทั้งนี้ เข้าใจว่าทุกอาชีพในภาวะแบบนี้ ทุกคนอยากจะทำงานเพื่อมีรายได้ แต่การมารุมล้อมรถอูเบอร์แบบนี้ มองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ควรจะมีข้อกำหนดห้ามอูเบอร์ให้บริการมากกว่า เพราะทุกครั้งก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ประชาชนก็จะรู้สึกไม่ได้รับความสะดวก และยังต้องกังวลว่า ถ้าหากเจอกับตัวจะทำอย่างไร อยากให้เจ้าหน้าที่รอบคอบในการทำงาน คิดว่าหากเจออีกรอบ คงจะต้องใช้กฎหมายช่วยจัดการแล้ว.