"ทนายเจมส์" เล่าเหตุการณ์คนโทรมาถามพินัยกรรม "นัทปง" หลังเสียชีวิต ยืนยันสนิทและดูแลกฎหมายให้ แต่ไม่มีมาปรึกษาหรือคุยพินัยกรรม แนะเพื่อน 4 คนในที่เกิดเหตุให้ความร่วมมือตำรวจ และตอบสังคมให้ได้เรื่อง "ไซยาไนด์"

ยังเป็นประเด็นที่สังคมติดตมต่อเนื่อง สำหรับการเสียชีวิตของ นายณัฐวุฒิ ปงลังกา หรือ "นัทปง" นักข่าวและผู้ประกาศชื่อดังในบ้านพัก เมื่อวันที่ 30 พ.ย. โดยผลชันสูตร พบว่ามีสารพิษไซยาไนด์ในร่างกายในระดับที่เป็นอันตราย ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือ นายนิติธร แก้วโต หรือ ทนายเจมส์ ที่ได้โพสต์ข้อความว่า มีคนโทรมาสอบถามเรื่องพินัยกรรม

ล่าสุดวันนี้ 6 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับทนายเจมส์ โดยกล่าวว่า ตนเองทราบข่าวว่าน้องนัทเสียชีวิตวันอาทิตย์ และวันจันทร์มีการรดน้ำศพ ช่วงเวลาประมาณ 10 หรือ 11 โมง ก็ได้มีผู้หญิงโทรมาหาตน แล้วถามว่า "น้องนัทได้ทำพินัยกรรมไว้ไหม ตอนนี้มีประเด็นที่ว่าตู้เซฟของน้องนัทไม่สามารถมีรหัสเปิดได้" ตนเลยบอกกลับไปว่า "น้องนัทไม่ได้ถามอะไรผม"

ตนเองมองว่าหลังจากการเสียชีวิต การถามหาพินัยกรรมนั้นเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่มีเรื่องของการฆาตกรรมกันเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อมีการถามแบบนี้ ตอนแรกตนยังไม่เอะใจเพราะยังไม่มีเรื่องผลตรวจร่างกายเกิดขึ้น หลังจากนั้นวันที่ 2 ตนเองไปงานศพ นั่งกับพ่อแม่ของน้องนัท มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาหาตนเอง แล้วถามเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สิน ตนเลยสงสัยว่าคุณเป็นใคร คุณเป็นญาติหรือเปล่า ซึ่งไม่ใช่ ตนก็เลยไม่คุยด้วย เขาบอกว่า เขาอยู่กับน้องนัทวันที่เกิดเหตุ โดยอ้างว่า "อยู่กับน้องนัท ทำงานเลิกกองก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน"

หลังจากนั้นก็มีน้องชายของนัทจริงๆ มาคุย และแลกเบอร์ไว้เพื่อให้ดูแลจัดการ และหลังจากมีเรื่องผลชันสูตรเกิดขึ้น ตนเองเลยเอะใจว่ามีคนมาถามเรื่องพินัยกรรมและทรัพย์สิน จึงได้ติดต่อไปยังทีมงานช่อง 8 ว่าคนที่โทรมาหาผม เขาได้ข้อมูลเรื่องพินัยกรรมมาอย่างไร ใครเป็นคนบอก ซึ่งก็ได้รู้ว่า ผู้ชายที่เคยมาถามเรื่องนี้กับตนในงานศพของน้องนัท เป็นคนให้ผู้หญิงโทรมาถาม

...

แต่อย่างไรก็ตาม ตนเองตั้งไว้ 2 ประเด็น เขาอาจจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยก็ได้ เป็นแค่น้องคนหนึ่งที่อยากจัดการทุกๆ อย่างทุกเรื่องให้กับนัทอย่างจริงใจ แต่ทำหน้าที่ผิดไปนิดหนึ่ง เพราะทรัพย์สินเหล่านี้ผู้ที่จะสามารถสอบถามได้ ต้องเป็นทายาทโดยธรรม 6 อันดับ ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น เว้นแต่มีพินัยกรรมการจัดการทรัพย์มรดกจะให้ใครก็ได้ไม่เป็นไปตามกฎหมาย แล้วจะให้ใครก็ได้ 

ดังนั้นความหมายของพินัยกรรมจึงเกิดความสำคัญขึ้น เมื่อมีการพิสูจน์พบไซยาไนด์อยู่ในร่างกาย โดยผู้หญิงคนที่ถามนั้นน้ำเสียงเขาก็ปกติ เขาคงทราบข่าวมาจากผู้ชายที่เจอตนเองในงานศพ และก็เป็นหนึ่งในทีมงานน้องนัท ที่เคยดิวงานกับตนเองบ่อยๆ แต่เนื่องจากผู้ชายคนที่ถาม เขาไม่มีเบอร์เพราะไม่เคยดิวงานกันเลย ให้ผู้หญิงทีมงานของน้องนัทโทรมาสอบถามแทน

ทนายเจมส์ ยังเผยอีกว่า กับน้องนัทนั้นส่วนตัวแล้วก็สนิทกัน เพราะตนเองดูแลเรื่องข้อกฎหมาย ในการทำงานให้อย่างน้อยก็ 3 เคสที่มีปัญหา โดยจบไป 2 เคสแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีการบ่นว่าไปทำข่าวแล้วถูกผู้มีอิทธิพลข่มขู่ หรือถูกปองร้าย น้องนัทเป็นเด็กน่ารักมาก ตนเองยังตั้งคำถามในใจอยู่ว่า ถ้ามีการฆาตกรรมจริงทำไมถึงต้องทำนัท นัทเป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัยกับใคร เป็นน้องที่น่ารักมาก ดูได้จากวันที่เขาตั้งงานศพ ก็มีนักข่าวเพื่อนฝูงมาแสดงความเสียใจกันจำนวนมาก

อย่างไรก็ตามสำหรับเพื่อนทั้ง 4 คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ซึ่งเทคนิคของตำรวจ คนที่น่าสงสัยก็คงจะหนีไม่พ้น 4 คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน มันเป็นความผิดทางด้านกฎหมาย ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้อง ก็ให้รีบไปแสดงตัวและก็ให้ข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะนำตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้

แต่ถ้าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นจากการประมาทหรือสิ่งอื่น ก็อยากให้ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุให้ความร่วมมือกับตำรวจมากที่สุด ตอบคำถามสังคมให้ได้ว่าใครเป็นคนพูดถึงไซยาไนด์เป็นคนแรก ทั้งๆ ที่ผลตรวจยังไม่ออก และมี 1 ใน 4 คนนั้นรู้ได้อย่างไรว่ามีไซยาไนด์ รู้ได้อย่างไรว่าอยู่ส่วนไหนของห้อง และมันมีเหตุจูงใจอะไร ที่ทำให้ถึงกับจะต้องฆ่ากันหรือมันมีเหตุจูงใจอะไรที่ทำให้ผู้ตายต้องจบชีวิตตัวเองหรือเปล่า อันนี้ก็ต้องไปหาสาเหตุ

ขณะเดียวกันทนายเจมส์ก็ได้ยืนยันว่าน้องนัทไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้กับตน ไม่เคยปรึกษาเรื่องพินัยกรรมแม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยปรึกษาทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตนก็ยังงงว่าคนที่มาถามนั้นเขาได้ข้อมูลเรื่องพินัยกรรมมาอย่างไร แต่มีข้อสันนิษฐานว่า น่าจะมาจากมูลเหตุที่เจอแม่บุญธรรมของน้องนัทที่ระยองหรือไม่ เพราะตนเองสนิทกับน้องนัทเลยคิดว่านัทจะทำพินัยกรรมไว้กับตน แต่แท้จริงแล้วคนที่สนิทกับน้องนัทยังมีอีกหลายคน ซึ่งไม่ใช่ตนแน่นอนที่น้องนัทจะมาทำพินัยกรรมด้วย