"พายุบัวลอย" ขึ้นฝั่งเวียดนาม กระทบภาคเหนือบ่ายวันนี้ อุตุฯ คาดฝนหนักแตะ 150 มม. เตือนระวังน้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่มในพื้นที่เชิงเขา ส่วนที่ "แม่แจ่ม" ดินถล่มอีก 2 จุด

วันที่ 29 กันยายน นายสุกฤษฎิ์ เกิดแสง ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นบัวลอย ซึ่งขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนาม เมื่อเวลา 01.00 น. วันนี้ โดยอ่อนตัวลงจากพายุไต้ฝุ่นเป็นพายุโซนร้อน จากเส้นทางพายุไม่ได้มุ่งตรงเข้าสู่พื้นที่ภาคเหนือของไทย แต่มุ่งขึ้นไปยังประเทศเมียนมา แต่ส่งผลกระทบให้ร่องมรสุม ที่อยู่ในพื้นที่ภาคกลางตอนบนถูกดึงขึ้นสู่พื้นที่ภาคเหนือ

โดยคาดว่าจังหวัดภาคเหนือด้านตะวันออกจะได้รับผลกระทบในช่วงบ่ายวันนี้ (29 ก.ย.68) ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน และอุตรดิตถ์ และในวันพรุ่งนี้ (30 ก.ย.68) ร่องมรสุมจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่และลำปางด้านเหนือเพิ่มเติม โดยคาดว่าระดับน้ำฝนที่ตกจะอยู่ที่ 100 – 150 มิลลิเมตร 


ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ บอกว่า ฝนที่ตกหนักสะสมทำให้ขณะนี้พื้นที่ภาคเหนือมีส่วนใหญ่มีค่าความชื้นและค่าการอุ้มน้ำของดินสูง ซึ่งยังคงต้องเฝ้าระวังการเกิดน้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่มในพื้นที่เชิงเขา โดยขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารของส่วนราชการอย่างใกล้ชิด       

...

ฝ่ายปกครองอำเภอแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ รายงานว่าช่วงเช้าวันนี้เกิดเหตุดินถล่มที่หย่อมบ้านแม่ขอมใต้ บ้านแม่หงานหลวง หมู่ 1 ต.ปางหินฝน ดินสไลด์ปิดทางเข้าออกหมู่บ้าน ชาวบ้านจำนวน 25 ครัวเรือน ไม่มีน้ำอุปโภค-บริโภค เนื่องจากระบบประปาภูเขาพังและเครื่องอุปโภคบริโภคเริ่มขาดแคลน นอกจากนี้ได้รับการประสานจาก รพ.สต.ปางหินฝน ว่ามีผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือ อาการเบื้องต้นตกต้นไม้แล้วขาบวม ขยับไม่ได้ จึงประสานอำเภอแม่แจ่มเข้าช่วยเหลือในการนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเทพรัตนเวชชานุกูล     

ขณะที่ นายเกรียงศักดิ์ บุญตาปวน นายอำเภอแม่แจ่ม ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สจ.เขตอำเภอแม่แจ่ม สาธารณสุขอำเภอแม่แจ่ม องค์การบริหารส่วนตำบลปางหินฝน ลงพื้นที่หย่อมบ้านแม่ขอมใต้ บ้านแม่หงานหลวง ม.1 ต.ปางหินฝน เพื่อประเมินสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน     


นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 กันยายน ได้เกิดเหตุดินภูเขาถล่มที่บ้านสบแม่ผาปู ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม มาครั้งหนึ่งแล้ว แม้จุดที่เกิดดินถล่มไม่มีบ้านเรือนประชาชนทำให้ไม่มีใครได้รับอันตรายหรือทรัพย์สินเสียหาย แต่สร้างความกังวลใจให้ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่เชิงเขา