ครูวัยเกษียณ "สมาพันธ์ครูลูกหนี้ 4 ภาค จังหวัดเชียงใหม่" ร้องสหกรณ์ฯ ลดดอกเบี้ยตามมติครม. หลังถูกหักเงินบำนาญจนหมดตัว บางคนติดลบต้องไปกู้ยืมมาโปะ ถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตายไปก็มี เพื่อให้ทายาทได้เงินฌาปนกิจสงเคราะห์
วันที่ 16 ก.ค. 67 นายวินัย สังขวรรณะ ประธานสมาพันธ์ครูลูกหนี้ 4 ภาค จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยสมาชิกสมาพันธ์ฯ ซึ่งสวนใหญ่เป็นครูวัยเกษียณอายุราชการ รวมตัวยืนชูป้ายร้องขอความเป็นธรรม ที่สำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ พร้อมกับยื่นหนังสือให้กับคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ ให้พิจารณาลดดอกเบี้ยให้กับสมาชิกสหกรณ์ โดยมี นายสมาน เผือกอ่อน รองประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ มารับหนังสือ
นายวินัย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรีมีมติลงวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์มีหนังสือถึงสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ได้เพิกเฉยตลอดมาขณะที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูอื่นๆ ทยอยลดดอกเบี้ยลง
ต่อมา สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ เพิ่งมีมติลดดอกเบี้ยลงมา 10 สตางค์ต่อปี จากดอกเบี้ยเงินกู้ 5.40 เปอร์เซ็นต์ เป็น 5.30 เปอร์เซ็นต์ต่อปี มีผลเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แต่ก็ไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีและหนังสือของกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่มีถึงสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ที่ให้ลดดอกเบี้ยลงมาที่ 4.75 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขจากการคำนวณแล้วว่าดอกเบี้ยประมาณดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับสหกรณ์ฯ และสมาชิกและผู้กู้เงิน
สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ เป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ มีผลกำไรสุทธิต่อปีสูง ซึ่งผลกำไรมาจากดอกเบี้ยเงินกู้ของสมาชิกผู้กู้เป็นหลัก และ สมาชิกผู้กู้เหล่านี้ก็ได้เป็นผู้เสียดอกเบี้ยมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีจนสหกรณ์เติบโต มีความพร้อมทั้งเรื่องอาคารสถานที่ เรื่องเงินทุนสำรองและค่าตอบแทนและโบนัสกรรมการและเจ้าหน้าที่ปีละหลายล้านบาท ก็ควรที่จะลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงมา ตามที่กรมส่งเสริมสหกรณ์มีหนังสือมาถึงสหกรณ์ และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู จึงขอให้สหกรณ์
...
1.พิจารณาลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงมา ตามที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ มีหนังสือลงวันที่ 25 ธันวาคม 2566 และตามมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 19 ธันวาคม 2566 คือลดดอกเบี้ยลงมาที่ 4.75% ต่อปี โดยเร็ว
2.ขอให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาขยายโครงการปรับโครงสร้างหนี้หรือรวมหนี้ออกไป และประกาศหลักเกณฑ์ให้สมาชิกทราบโดยทั่วกัน เพื่อให้โอกาสแก่สมาชิกที่ยังไม่สามารถปรับโครงสร้างหนี้ สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ทุกคน โดยไม่ไม่เลือกปฏิบัติเฉพาะสมาชิกที่ลงทะเบียนกับเขตพื้นที่การศึกษาเท่านั้น เพราะสมาชิกทุกคนควรมีสิทธิในความเป็นสมาชิกที่จะได้รับสิทธิทุกโครงการที่สหกรณ์จัดทำขึ้น
นายวินัย กล่าวว่า ตอนนี้มีสหกรณ์ออมทรัพย์ครูบางแห่งที่กู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ไปดำเนินการ ก็ได้ประกาศลดดอกเบี้ยลงมาที่ 4.75 ต่อปี จากเดิม 5.50 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 และยังมีสหกรณ์ออมทรัพย์อีกหลายแห่งที่ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงไปที่ 4.50 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ซึ่งมีเงินที่ไม่ต้องกู้ยืมจากสหกรณ์อื่นมาดำเนินการ กลับลดดอกเบี้ยเพียง 10 สตางค์ จึงไม่สมเหตุสมผลและยังเป็นภาระให้กับผู้กู้ที่ต้องแบกภาระดอกเบี้ยที่สูงต่อไป จึงขอให้สหกรณ์ดำเนินการตามที่นำเสนอโดยด่วนเพื่อให้กลุ่มครูลูกหนี้ได้ผ่อนคลายและมีเงินเหลือที่พอชำระหนี้ได้มากขึ้น
ประธานมาพันธ์ครูลูกหนี้ 4 ภาค จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า ดอกเบี้ยที่ลดลง 10 สตางค์ต่อปี ไม่มีผลต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ของครู ที่ผ่านมากลุ่มครูวัยเกษียณหลายคนต้องประสบปัญหาอย่างหนักจากการถูกหักเงินบำนาญเป็นจำนวนมาก ซึ่งตามกฎหมายให้สหกรณ์สามารถหักเงินจากสมาชิกได้ร้อยล่ะ 70 ของรายรับ แต่สหกรณ์กลับหักเงินบำนาญรายเดือนที่เหลืออีก 30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ครูบางคนแทบไม่เหลือเงินใช้จ่ายในแต่ละเดือน บางรายเหลือเงินใช้เพียง 500-1,000 บาท ทำให้สมาชิกสหกรณ์กลุ่มที่เป็นครูเกษียณได้รับความเดือดร้อนไม่ต่ำกว่า 1 พันราย
ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้มีครูบางคนเครียดหนัก โดยเมื่อปี 2563 มีครูเกษียณรายหนึ่งตัดสินใจกินยาฆ่าตัวตาย เนื่องจากถูกหักเงินบำนาญรายเดือนเพื่อนำไปจ่ายค่างวดให้สหกรณ์จนไม่เหลือเงินใช้จ่ายทุกเดือนจนเจ้าตัวต้องหันไปยืมเพื่อนมาใช้จ่ายและหวังว่าจะได้เงินปันผลเฉลี่ยคืนมาใช้หนี้ให้เพื่อน แต่กลับถูกสหกรณ์หักเงินจำนวนดังกล่าวนำไปใช้หนี้ที่คงค้างอีก ทำให้เจ้าตัวคิดสั้นกินยาฆ่าตัวตายเพื่อหวังจะได้เงินฌาปนกิจและเงินอื่นจากการเสียชีวิตมาชำระหนี้ที่คงค้าง เนื่องจากกลัวว่าจะถูกฟ้องยึดทรัพย์สิน เกรงคนในครอบครัวจะไม่มีที่อยู่และต้องการเงินมาให้คนในครอบครัวได้ใช้ ก่อนที่เจ้าตัวจะลงมือได้เขียนบันทึกสั่งเสียให้กับญาติๆ ว่าหากเสียชีวิตแล้วให้ไปดำเนินการเบิกเงินที่ไหนเป็นขั้นเป็นตอนอย่างละเอียด
อดีตคุณครูผู้หญิงวัย 66 ปีรายหนึ่ง เล่าว่า เกษียณอายุราชการได้ 6 ปี ทำให้เงินเดือนลดลงกว่าครึ่งจึงยื่นขอปรับโครงสร้างหนี้ แต่ได้รับการปฏิเสธ เนื่องจากมีชื่ออยู่ในกลุ่มเรียกร้องไม่ให้สหกรณ์หักเงิน 30 เปอร์เซ็นต์จากเงินเดือนนำไปชำระหนี้ ซึ่งทุกวันนี้ได้เงินบำนาญเฉลี่ยเดือนละ 3.3 หมื่นบาท จ่ายค่างวดให้สหกรณ์ 2.6 หมื่นบาท และค่างวดรายเดือนจากสถาบันการเงินอื่นๆ อีกรวมเป็นเงิน 6 หมื่นบาท ทำให้เงินเดือนติดลบไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท จนต้องขายที่ดินเพื่อนำเงินมาผ่อนจ่ายค่างวด หากสหกรณ์ฯ จะช่วยลดดอกเบี้ยให้สมาชิกก็จะทำให้ค่างวดรายเดือนลดลง ซึ่งจะบรรเทาความลำบากให้กับตนเองและสมาชิกคนอื่นได้มาก.