อาจารย์ มช.ขอดูหลักฐาน คนเซ็นอนุมัติเห็นชอบ บูรณะยักษ์คู่วัดอุโมงค์ โดยการพอกปูนทับ “คืนสภาพใหม่” สังคมจะได้รับรู้ว่ามีการพิจารณาที่ รอบคอบจริงหรือไม่ ซัดไม่ซื่อสัตย์ต่อหลักการ ขัดต่อ "ระเบียบของกรมศิลปากรว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถาน" อย่างชัดเจน ถามผวจ.จะรับผิดชอบอะไรไหม ในฐานะคนขอให้ซ่อม
จากกรณี ดร.สุรชัย จงจิตงาม อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยจังหวัดเชียงใหม่ นำภาพถ่ายในอดีตของรูปปั้นยักษ์โบราณอายุเก่าแก่กว่า 500 ปี ที่ตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นสู่อุโมงค์ของวัด ซึ่งในปัจจุบันถูกบูรณะโบกปูนทับใหม่ ทำให้ของโบราณกลายเป็นของใหม่อย่างน่าเสียดาย พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ที่ตัดสินใจทำการบูรณะยักษ์ทั้งสององค์ออกมาแสดงความรับผิดชอบจนเกิดกระแสดราม่าอย่างต่อเนื่องช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ขณะที่เจ้าอาวาสวัดบอกว่าเป็นการบูรณะของสำนักศิลปากรที่ 7 เนื่องจากรูปปั้นทั้งสององค์ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุ
ในเรื่องนี้ นายเทอดศักดิ์ เย็นจุระ ผู้อำนวยการกลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ชี้แจงประเด็นที่เกิดขึ้น ผ่านทางโทรศัพท์ว่า การบูรณะมีขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้ผู้ว่าราชการเชียงใหม่ ได้ไปพบรูปปั้นยักษ์ทวารบาลที่วัดอุโมงค์และเห็นว่าอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม จึงประสานแจ้งมาที่สำนักศิลปากรที่ 7 เพื่อเข้าตรวจสอบและหาแนวทางในการบูรณะ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานที่สำคัญของเชียงใหม่
...
ต่อมา สำนักศิลปากรที่ 7 เข้าตรวจสอบ พบรูปปั้นยักษ์ทั้งสององค์เป็นประติมากรรมปูนปั้นแบบลอยตัวทวารบาล หรือ ยักษ์เฝ้ารักษาประตูทางเข้าสู่พระธาตุวัดอุโมงค์ เป็นงานปูนปั้นที่ใช้วัสดุก่ออิฐถือปูน เป็นโครงสร้างหลักและปั้นปูนขึ้นหุ่นองค์ ก่อนที่จะตกแต่งลวดลายด้วยปูนหมัก ไม่สามารถทราบอายุการสร้างได้ รูปแบบทางศิลปกรรมแบบพม่า-ไทใหญ่ โดยพบว่าทั้งสององค์อยู่ในสภาพเสียหายหนัก ปูนปั้นเสื่อมสภาพ ไม่ยึดเกาะกับโครงสร้างก่ออิฐภายใน ปูนปั้นโดยทั่วองค์มีรอยแตกร้าว และเนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่กลางแจ้ง และอยู่ในสภาพป่าดิบชื้น ทำให้น้ำฝนไหลซึมเข้าสู่ด้านในโครงสร้าง ทำให้แกนอิฐก่อขึ้นรูปองค์ภายในสึกกร่อน มีเชื้อราดำ ตะไคร่น้ำและวัชพืช ขึ้นเกือบทั้งองค์ ผิวปูนปั้นปรากฏวัสดุมวลรวมหยาบ (กรวด เม็ดทราย) ลอยตัวขึ้นมาจากเนื้อปูนปั้น
จึงมีการประเมินแนวทางในการบูรณะ โดยมีทางเลือกสองทางคือการบูรณะ โดยการอนุรักษ์รักษาสภาพ หากเลือกแนวทางนี้ จะรักษาสภาพปัจจุบันก่อนการอนุรักษ์ไว้ได้ในระยะหนึ่ง แต่หากมีเหตุการณ์ในอนาคตที่มีความเร่งในการพัง ชำรุด เช่น ฝนตกหนัก แผ่นดินไหว ขาดการดูแลรักษา ปล่อยให้วัชพืชขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยที่เร่งการพังชำรุดเร็วขึ้น
ส่วนแนวคิดที่ 2 คือการบูรณะโดยการ “ฟื้นคืนสภาพ” เมื่อพิจารณาการสภาพก่อนการบูรณะ ซึ่งมีหลักฐานทางศิลปกรรมหลงเหลืออยู่มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ประกอบกับการวิเคราะห์การเสื่อมสภาพของวัสดุเดิม สภาพแวดล้อมโดยรอบ ปัจจัยความเสี่ยงอื่นในอนาคต ที่จะเร่งให้เกิดความเสียหาย การใช้ประโยชน์ของโบราณสถานในปัจจุบัน คติความเชื่อ และในอดีตที่ผ่านมา มีการเลือกแนวทางการบูรณะแบบฟื้นคืนสภาพนี้มาแล้วหลายแห่ง เช่น องค์พระมงคลบพิตรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา องค์พระอจนะวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย จากเหตุผลและการประเมินนี้แล้ว จึงเลือกที่จะดำเนินการบูรณะในแนวทางนี้
นายเทอดศักดิ์ กล่าวอีกว่า การเลือกบูรณะด้วยการฟื้นคืนสภาพ จะช่วยให้เกิดความมั่นคงแข็งแรงและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายหนักไปกว่านี้ ส่วนภาพที่ถูกเผยแพร่ในสื่อ ที่เป็นภาพก่อนและหลังบูรณะ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ โดยพบว่ามีการนำภาพที่องค์ซ้าย ที่ยังไม่ได้บูรณะไปเปรียบเทียบกับองค์ขวา ที่มีการบูรณะเสร็จแล้ว จึงทำให้ดูไม่เหมือนแบบเดิม ทั้งนี้ยืนยันการบูรณะมีการวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 67 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรชัย จงจิตงาม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ออกมาให้ความเห็นอีกครั้งว่า จากคำชี้แจงของหน่วยงานราชการต่อการปฏิสังขรณ์ประติมากรรมยักษ์ที่วัดอุโมงค์โดยการพอกปูนทับจนเป็นของใหม่ โดยกล่าวว่าจำเป็นต้องเลือกวิธีการปฏิสังขรณ์แบบ “คืนสภาพขึ้นมาใหม่” เพราะว่ายักษ์ชำรุดมากหากอนุรักษ์แบบ “คงสภาพดั้งเดิม” ไว้จะทำให้ยักษ์ไม่แข็งแรง และจะชำรุดลงเรื่อยๆ
“หากอ้างว่ายักษ์ชำรุดมากขนาดนั้นจริงก็ควรแสดงหลักฐานการชำรุดขั้นรุนแรงตามที่กล่าวอ้างนั้น ให้ชัดเจนแก่สังคมด้วย ในฐานะที่ข้าพเจ้าสัมผัสยักษ์ทั้งคู่อย่างใกล้ชิดมาหลายสิบปี พบว่าสภาพปูนและโครงสร้างโดยรวมยังแข็งแรงมาก แม้จะมีการชำรุดและผิวปริบ้าง แต่ก็ไม่มากจนถึงขนาดเสี่ยงต่อการโค่นหักพัง ด้วยสภาพเช่นนี้จึงยังคงสามารถเลือกวิธีการอนุรักษ์ยักษ์แบบ “คงสภาพดั้งเดิม” ไว้ได้ ตัวอย่างประติมากรรมเทวดาที่วัดเจ็ดยอดเชียงใหม่ซึ่ง “ชำรุดหักพังอย่างรุนแรงมากกว่ายักษ์ที่วัดอุโมงค์” ได้ผ่านการอนุรักษ์โดยวิธีการ “คงสภาพดั้งเดิม” มาไม่น้อยกว่า 40 ปี ปัจจุบันก็ยังมีสภาพที่แข็งแรงไม่เห็นจะหักพังไปแต่อย่างใด และยังรักษาฝีมือช่างของแท้อันงามเลิศในสมัยพระเจ้าติโลกราชเมื่อราว 500 ปีก่อนไว้ได้เป็นเยี่ยมโดยไม่ต้องปั้นปูนทับเทวดาจนเป็นองค์ใหม่ ฉะนั้น จึงไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะปฏิเสธวิธีการดังกล่าวในการซ่อมยักษ์ที่วัดอุโมงค์ โดยกฎบัตรการอนุรักษ์ที่เป็นสากล เช่น เวนิสชาร์เตอร์ (Vinice Charter) ซึ่งกรมศิลปากรก็ยอมรับหลักการดังกล่าวนำมาเป็นหลักพื้นฐานอยู่ไม่น้อยดังปรากฏใน “ระเบียบของกรมศิลปากรว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถาน” ตั้งแต่ พ.ศ.2528 ก็ควรซื่อสัตย์ต่อหลักการ โดยเฉพาะงานศิลปกรรมชิ้นสำคัญที่หาได้ยากระเบียบก็ระบุชัดว่า “ข้อ 14 : โบราณสถานที่เป็นปูชนียสถานอันเป็นที่เคารพบูชา ซึ่งเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกันดีของประชาชนโดยทั่วไป จะต้องบูรณะไว้โดยไม่มีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง ลักษณะสีและทรวดทรง ซึ่งจะทำให้โบราณสถานนั้นหมดคุณค่า หรือเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ไป” และ “ข้อ 11: การอนุรักษ์ชิ้นส่วนที่มีคุณค่าเยี่ยมยอดทางจิตรกรรม ประติมากรรม และโบราณวัตถุซึ่งติดหรืออยู่ประจำโบราณสถานนั้น ทำได้แต่เพียงการสงวนรักษา หรือเพิ่มความมั่นคงแข็งขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อคุณค่าของเดิมให้ปรากฏเด่นชัดมากที่สุด ยกเว้นปูชนียวัตถุที่มีการเคารพบูชาสืบเนื่องมาโดยตลอด และได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการแล้ว” ในเมื่อระเบียบ “เปิดช่อง” ให้ “ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่” ได้ ฉะนั้น หน่วยงานราชการก็ควรเปิดเผยหลักฐานการพิจารณาเห็นชอบ และรายชื่อคณะกรรมการในที่ประชุมที่ให้มีมติเห็นชอบ รวมทั้งคนเซ็นชื่ออนุมัติให้ปฏิสังขรณ์ยักษ์ด้วยรูปแบบเช่นนี้ให้กับสังคมได้รับรู้ว่ามีการพิจารณาที่ “รอบคอบ” จริงตามที่อ้างหรือไม่ อย่างไร? จากภาพ และวิดีโอที่ปรากฏก็ชัดว่าเป็นการพอกปูนทับลงไปใหม่บนเนื้อปูนของโบราณจนไม่เห็นผิวปูนโบราณเลย
...
ส่วนข้ออ้างเปรียบเทียบการอนุรักษ์แบบคืนสภาพขึ้นใหม่โดยอ้างกรณีการอนุรักษ์พระอจนะวัดศรีชุมเมืองสุโขทัยขึ้นมาใหม่นั้นก็ไม่สมเหตุผล เพราะงานปั้นปูนพอกทับพระอจนะองค์เดิมเป็นงานซ่อมใหม่ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามราว พ.ศ.2496-2500 ก็เป็นการปั้นใหม่ทับของโบราณโดยไม่มีหลักฐานยืนยันเพียงพอว่ารูปแบบเดิมเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เพราะแม้แต่ยอดรัศมีบนพระเศียรขององค์พระก็ไม่ได้ปั้นตามหลักฐานของภาพถ่ายเก่าที่เป็นทรงดอกบัวตูม แต่กลับแก้ไขให้เป็นรัศมีเปลว ฉะนั้น ตำราทางประวัติศาสตร์ศิลป์ที่ “ได้มาตรฐาน” ล้วนรู้ทัน “ข้อเท็จจริง” เหล่านี้ จึงไม่นำรูปพระอจนะที่ปั้นใหม่มาใช้กล่าวอ้างอิงว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยเพราะทราบดีว่าเป็นของที่ปั้นใหม่โดยไม่ได้ศึกษารูปแบบแต่เดิมอย่างรัดกุมเพียงพอ และวิธีการที่ทำในสมัยจอมพล ป.โดยการพอกปั้นทับพระโบราณเช่นนั้นก็ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติที่ยอมรับกันเป็นสากลหากจะนำกลับมาปฏิบัติอีกในสมัยปัจจุบัน
ในฐานะยักษ์ทั้งสองตนที่วัดอุโมงค์มีคุณค่าในศิลปะล้านนาอย่างสำคัญ ถ้าหากมีความจำเป็นอย่างที่สุดที่เห็นว่าจะชำรุดเมื่ออยู่กลางแจ้งต่อไป ก็ย่อมมีทางเลือกที่ดีกว่า และปฏิบัติได้ง่ายกว่า คือให้นำประติมากรรมยักษ์ทั้งคู่ไปเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย และปั้นขึ้นใหม่หรือสแกน 3D และ print 3 มิติตัวใหม่มาตั้งวางแทนที่ยักษ์ตัวเดิมไปเลยก็ย่อมเป็นทางออกที่ดีกว่าที่จะปั้นปูนพอกทับลงบนของโบราณที่มองอย่างไรภาพก็เห็นได้ชัดว่าเป็นของทำใหม่โดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าในการปฏิบัติงานในสถานการณ์จริงบางครั้งอาจไม่สามารถเถรตรงตามระเบียบได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่ควรที่จะ “เถ” ต่อหลักการที่มีอยู่ไปไกลมากถึงขนาดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างที่ปรากฏ
ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดแม้ไม่ได้เป็นผู้ซ่อมแต่ก็ไม่ควรปัดความรับผิดชอบในฐานะบุคคลผู้เป็น “ต้นความคิด” ริเริ่มให้ซ่อมก็ควรที่จะ “แสดงตนเป็นตัวอย่างของผู้นำที่มีความรับผิดชอบ” และ “รอบคอบ” ควรขอทราบรูปแบบการบูรณะและติดตามการซ่อมแซม หากเห็นว่า “หมิ่นเหม่ที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมา” ก็ควรหาทางระงับเสียแต่เนิ่นๆ ย่อมเป็นการเหมาะสม และ “สง่างาม” กว่าที่จะผลักความรับผิดชอบให้กรมศิลปากรมาเพียงลำพังจนก่อให้เกิดความเสียหายดังที่ปรากฏ “และต่อไปก็ขออย่าได้ไปสั่งให้โบกปูนพอกเจดีย์ และกำแพงในวัดจนเป็นของใหม่เช่นนี้อีก”
...