ข่าวดีก่อนวันพระใหญ่ วิสาขบูชา ฝั่งลาวค้นพบเกตุมาลารัศมีเปลว ของพระเจ้าตนหลวงโบราณ กลางแม่น้ำโขง บริเวณหาดดอนผึ้งคำ แขวงบ่อแก้ว สุดอัศจรรย์ เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด
วันที่ 21 พ.ค. 67 ที่แม่น้ำโขง หาดดอนผึ้งคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงกันข้ามกับ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ชาวลาวยังคงขุดค้นหาโบราณวัตถุในหาดทรายอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่พบโบราณวัตถุหลายร้อยชิ้น โดยเฉพาะพระพุทธรูปองค์ใหญ่สูงกว่า 2 เมตร หน้าตักกว้างอย่างน้อย 1.80 เมตร สร้างจากสำริดที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์สวยงาม ขาดเพียงตรงส่วนยอดสุดที่เป็นเกตุมาลารัศมีเปลวได้หายไป
ล่าสุด เวลาประมาณ 12.00 น. ของวันเดียวกัน คณะขุดค้นได้นำรถแบ็กโฮและขุดมือในจุดใกล้เคียงกับที่เจอองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ห่างไปทางทิศเหนือ 14 เมตร ปรากฏได้พบเกตุมาลารัศมีเปลว ขนาดกว้าง 13 ซม. และสูง 60 ซม. สร้างจากสำริดที่มีสีเดียวกัน และยังมีเรื่องสุดอัศจรรย์ใจอีกอย่างหนึ่ง เพราะขณะค้นพบเกตุมาลาดังกล่าว ก็ได้มีปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดเกิดขึ้นพอดี และการค้นพบในวันนี้ถือเป็นฤกษ์มงคล เพราะวันพรุ่งนี้ (22 พ.ค. 67) เป็นวัน "วิสาขบูชา" ซึ่งถือว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน เป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนา สร้างความปีติยินดีแก่พุทธศาสนิกชนชาวลาว รวมไปถึงชาวไทยที่ทราบข่าวโดยทั่วกัน
หลังจากการที่ได้ค้นพบพระเกตุมาลา พระสงฆ์ในฝั่ง สปป.ลาว ได้อัญเชิญเกตุมาลาดังกล่าวขึ้นมาไว้บนฝั่ง และให้ฆราวาสทำความสะอาดให้เรียบร้อย ก่อนจะทดลองนำไปใส่ไว้บนพระเศียรของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ขุดค้นเจอเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยให้พระสงฆ์ได้นำไปวางลงในช่องวงกลมบนอุษณีษะของพระเศียรพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ซึ่งปรากฏว่าสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี สร้างความดีใจและเลื่อมใสศรัทธาต่อชาวลาวที่ต่างเปล่งเสียงว่า สาธุๆ กันโดยถ้วนหน้า ทั้งนี้ เพจ "ขัตติยะบารมี ขัตติยะ (ขัตติยะบารมี)" ซึ่งนำเสนอการขุดค้นอย่างต่อเนื่อง ได้ระบุว่า จากสถานที่ประดิษฐานขององค์พระพุทธรูป ทำให้สันนิษฐานว่าได้หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ
...
รายงานข่าวแจ้งว่า ทางการ สปป.ลาว และชาวบ้านเมืองต้นผึ้ง ได้ขุดพบโบราณวัตถุต่างๆ ในบริเวณดังกล่าว ตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. 67 เพราะเป็นช่วงฤดูแล้ง และมีการขุดทรายขึ้นไปทำการก่อสร้างถนนเข้าวัด โดยตอนแรกตั้งใจจะขุดหินและทรายในแม่น้ำโขงมาถมถนนเพียง 8 ลำรถ แต่พอเอามาถมแล้วกลับไม่พอ ทางผู้ใหญ่บ้านจึงบอกให้ไปตักมาเพิ่มอีก 2 รอบ จนกระทั่งรอบที่ 9 หลังจากเทหินทรายลงแล้วชาวบ้านต่างช่วยกันเกลี่ยหินทราย กลับพบว่ามีพระพุทธรูปถูกตักปนขึ้นมากับหินทรายด้วยจำนวน 1 องค์ จึงเป็นที่มาของการขุดค้นเพิ่มเติมในครั้งนี้ ซึ่งทีมขุดค้นของลาวไม่ได้ขุดแบบไม่มีเป้าหมาย แต่จะใช้เครื่องตรวจจับโลหะสแกนพื้นที่ หากเครื่องตรวจโลหะส่งเสียงสัญญาณ จึงจะให้เครื่องจักรและคนทำการขุดตรงจุดนั้นๆ หากค้นพบพระพุทธรูปก็จะมีการตีฆ้องตีกลอง เป็นการส่งสัญญาณให้ชาวบ้านที่มาเฝ้าดูการขุดค้นได้รับทราบและร่วมยินดีไปด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันค้นพบพระพุทธรูปและของเก่าโบราณแล้วไม่ต่ำกว่า 200 ชิ้น ขณะที่ทางเพจ "ลายเมือง Lai-Muang" ระบุว่า มีพระพุทธรูปองค์เล็ก 2 องค์ มีอักขระแปลแล้วบ่งชี้ว่า มีบุคคลในยุคสมัยนั้นเป็นผู้จัดสร้างถวายวัดในปี พ.ศ. 2047 จึงระบุว่า พระพุทธรูปและโบราณวัตถุในกลุ่มนี้มีอายุประมาณ 520 ปี หรือในยุคอาณาจักรล้านนา ซึ่งพระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง.