ตำรวจสภ.ช้างเผือก เรียกแจ้งข้อหาสามหนุ่มขับรถฝ่าไฟแดง ไล่ชนคู่กรณีกับเมียท้องแก่ ฉุนบีบแตรเตือน 2 ครั้ง ทั้งขับ ชน ปาดหน้า ราวกับหนังบู๊แอ็กชัน ยังตามไปทำร้ายอาละวาดในร้านก๋วยเตี๋ยวที่ไปขอความช่วยเหลือ ไม่ยอมเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์
ความคืบหน้ากรณีหนุ่มขับรถกระบะพาเมียท้องแก่ไปทำงานกะดึก เจอรถฝ่าไฟแดงเลยกดแตรเตือน แต่กลับถูกขับรถตามไล่ชนจนรถพังเสียหาย และยังตามไปทำร้ายร่างกายที่ร้านก๋วยเตี๋ยว เมื่อกลางดึกวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ พร้อมกับตั้งคำถามทำไมตำรวจไม่เรียกฝั่งคู่กรณีไปตรวจแอลกอฮอล์ อ้างกำลังเจ้าหน้าที่ไม่พอ
ล่าสุดช่วงบ่ายวันนี้ (2 พฤศจิกายน) ร.ต.ท.หญิง ฑิตฐิตา บัวขม รอง สว.(สอบสวน) สภ.ช้างเผือก เปิดเผยว่า ได้แจ้งข้อหากับคู่กรณีในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย, ขับรถโดยประมาทหรือหวาดเสียวอาจเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย (เฉพาะคนขับ), ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ (กรณีปาข้าวของร้านก๋วยเตี๋ยว) โดยทั้งสามคนได้เข้ามารับทราบข้อหาและให้การปฏิเสธ
ส่วนกรณีฝ่าไฟแดงและไล่ชนรถคนอื่น ในวันที่ 3 พฤศจิกายน จะนัดมาให้ปากคำเพิ่มเติมเพื่อแจ้งข้อหาเมาแล้วขับ และขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจรเพิ่มเติม สำหรับประเด็นคู่กรณีไม่ยอมไปโรงพักและตำรวจไม่ดำเนินการให้เป่าแอลกอฮอล์ พ.ต.ท.กรณ์ ศศิมณฑา รอง ผกก.สอบสวน สภ.ช้างเผือก เปิดเผยว่า ในคืนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สายตรวจที่เข้าระงับเหตุ ได้บันทึกภาพเหตุการณ์และบันทึกรายละเอียดไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำสายตรวจชุดนี้ไว้แล้วในฐานะเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนกลาง ไม่มีส่วนได้เสียกับคู่กรณี หากได้ข้อสรุปว่าคู่กรณีอยู่ในลักษณะมึนเมาสุรา ไม่สามารถประคองตัวได้ก็จะแจ้งข้อหาเมาแล้วขับเพิ่มเติม
...
พ.ต.ท.กรณ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ หรือปล่อยปละละเลยคู่กรณี แต่สายตรวจได้แจ้งว่ากำลังไม่เพียงพอ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาในการดำเนินคดี เพราะตามกฎหมายหากผู้ใดที่ปฏิเสธคำสั่งเจ้าพนักงานด้วยการไม่ยอมเป่า ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเมาและสามารถดำเนินคดีได้ ทั้งนี้ ฝากเตือนผู้ใช้รถใช้ถนนให้ใจเย็นๆ ให้อภัยซึ่งกันและกัน ที่สำคัญก็คือการดื่มสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะจะทำให้การตัดสินใจและการควบคุมอารมณ์ลดลง และผิดกฎหมาย ทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่องตามมา สังคมเดือดร้อน
สำหรับการกระทบกระทั่งกันบนท้องถนนดังกล่าว นายหนุ่ม (นามสมมติ) อายุ 29 ปี บันทึกเหตุการณ์ระทึกระหว่างขับรถไปส่งภรรยาไปทำงานกะดึกในตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อเวลาประมาณตีสามของวันที่ 29 ตุลาคม 2566 ขณะขับรถมาจากถนนเชียงใหม่-พร้าว ผ่านไฟเขียวบริเวณแยกฟ้าฮ่าม ต.ฟ้าฮ่าม อ.เมืองเชียงใหม่ และกำลังจะเลี้ยวขวาเข้าไปทางสะพานป่าตันเข้าสู่ตัวเมือง จู่ๆ มีรถยนต์มิตซูบิชิแวกอน สีดำ ทะเบียน ขข 6447 เชียงใหม่ ขับฝ่าไฟแดงมาทางด้านซ้ายของทางแยกจนเกือบเฉี่ยวชน จึงกดแตรเตือนไปสองครั้ง
แทนที่จะรู้ตัว แต่เสียงแตรกลับทำให้คนขับรถคันดังกล่าวหัวร้อนขึ้นมาทันที โดยได้ขับจี้ท้ายมาติดๆ พร้อมกับกดแตรไล่หลังไม่หยุด ตนเองจึงได้ชะลอความเร็วและชิดขอบทางเพื่อให้แซงถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่ยอมแซง จึงตัดสินใจหยุดรถเพื่อให้แซง แต่กลับถูกพุ่งชนท้าย ด้วยความตกใจและกลัวภรรยาที่ตั้งครรภ์ 8 เดือนที่นั่งมาด้วยจะได้รับอันตราย จึงรีบขับหนีออกไป
เมื่อไปถึงบริเวณแยกเชิงสะพานรัตนโกสินทร์ฝั่งตะวันออก รถคันดังกล่าวก็ได้ขับมาเบียดและชนด้านท้ายขวาของรถ ตนเองขับหนีก็ยังถูกขับตามมาชนอีก 3 ครั้งจนรถเสียหาย ก่อนจะถูกปาดหน้าคล้ายกับบังคับให้จอดบริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ เหตุการณ์ระทึกเหมือนกับภาพยนตร์แอ็กชัน ตนเองจึงตัดสินใจขับรถข้ามถนนไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้ามเพื่อขอความช่วยเหลือ ปรากฏว่าชายคนขับและคนที่นั่งมาด้วย 3 คน ลงจากรถมาในสภาพเมา กรูเข้ามารุมทำร้ายถึงร้านก๋วยเตี๋ยวจนทำให้ตนเองโดนต่อยและต้องปัดป้องหาทางป้องกันตัวเอง จังหวะนั้นภรรยาร้องขอกลุ่มคู่กรณี อย่าทำร้ายสามี แต่กลับถูกผลักจนเกือบล้มทั้งที่ท้องแก่
ในช่วงชุลมุน หญิงเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวและลูกค้าที่อยู่ในเหตุการณ์พากันออกมาปกป้องช่วยเหลือจนเกิดการโต้เถียงกันบานปลาย แต่ทั้งสามคนก็ยังป่วนไม่หยุด หยิบถ้วยผักปาใส่เจ้าของร้านและลูกค้า และมีท่าทีคุกคามพยายามจะเข้ามาทำร้ายและยังมีกลุ่มวัยรุ่นอีกสองคนตามมาสมทบ จังหวะนั้นลูกค้าในร้านคาดสถานการณ์บานปลายจึงได้โทรศัพท์แจ้ง 191 ให้สายตรวจมาระงับเหตุ
ต่อมาตำรวจสายตรวจ สภ.ช้างเผือก มาถึงได้เชิญตัวทั้งสองฝ่ายไปโรงพัก นายหนุ่มจึงได้ขับรถไปที่โรงพัก เจ้าหน้าที่ได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ซึ่งตนเองได้ผลที่ 5 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และได้สอบถามเหตุการณ์ทั้งหมดเพื่อลงบันทึกประจำวัน โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง แต่ปรากฏว่าฝ่ายคู่กรณีไม่มีใครมา แต่ยังคงอาละวาดป่วนอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวไม่เลิก จึงได้ขอให้ตำรวจไปเชิญตัวมาเพราะต้องการให้ตรวจวัดแอลกอฮอล์ แต่กลับได้รับคำตอบว่ากำลังสายตรวจมีไม่พอเพราะเป็นวันหยุดและมีตำรวจลาเยอะ ผู้ก่อเหตุมีจำนวน 5 คน ตำรวจที่จะไปต้องมี 10 นาย แต่วันนี้มีไม่ถึง ส่วนเรื่องการออกไปตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่จุดเกิดเหตุ เป็นหน้าที่ของตำรวจจราจร ซึ่งกลางดึกไม่มีตำรวจจราจรจึงไม่สามารถไปตรวจวัดให้ได้ โดยแจ้งแค่ว่าจะนัดทั้งสองฝ่ายมาเจรจากันอีกครั้งในภายหลัง
นายหนุ่ม บอกด้วยว่า รู้สึกตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ห่วงที่สุดก็คือภรรยาและลูกในท้องจะได้รับอันตราย โชคดีที่มีคนมาช่วยไว้ จนถึงขณะนี้ฝ่ายคู่กรณีก็ยังไม่ติดต่อมารับผิดชอบความเสียหาย เรื่องนี้ได้แจ้งความในข้อหาขับขี่รถโดยประมาทและทำให้ทรัพย์สินเสียหาย รวมทั้งข้อหาทำร้ายร่างกาย ยืนยันดำเนินคดีถึงที่สุดและขอให้ตำรวจให้ความเป็นธรรม เร่งรัดเรียกตัวมาสอบสวนดำเนินคดี