ปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นจะต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 ส่งผลให้ฝนตกน้อย น้ำไหลเข้าเขื่อนต่างน้อยกว่าปกติ แม้ตอนนี้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูฝน ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีน้ำที่ใช้การได้รวมกันแค่ 33%

ลุ่มเจ้าพระยา น้ำใน 4 เขื่อนหลัก ภูมิพล, สิริกิติ์, แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ มีน้ำที่ใช้การได้แค่ 19%

กรมชลประทานต้องขอความร่วมมือให้ใช้น้ำอย่างประหยัด เกษตรกรที่เกี่ยวข้าวนาปีแล้วงดทำนาปีต่อเนื่องและนาปรัง ปี 2566/67 เพราะน้ำต้นทุนมีน้อย ทั้งที่ปีนี้ราคาข้าวสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ไม่ให้ทำนา

เลยทำให้คิดถึง “โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม–อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล” หากทำได้ ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้น ลุ่มเจ้าพระยาจะมีความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำขึ้นมาทันที แต่ขณะนี้โครงการนี้ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างเลยครับ ยังอยู่ระหว่างการขับเคลื่อน สร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน หลังจากผ่านความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA)

โครงการนี้จะทำให้การใช้ประโยชน์จากเขื่อนภูมิพลได้เต็มประสิทธิภาพ ด้วยเขื่อนภูมิพลมีความจุ 13,462 ล้าน ลบ.ม แต่จากข้อมูลปริมาณน้ำที่ไหลลงเขื่อนภูมิพล ตั้งแต่ปี 2507-ปัจจุบัน เฉลี่ยปีละ 5,900 ล้าน ลบ.ม. และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในปีนี้ ขณะนี้เขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำที่ใช้งานแค่เพียง 18%

ในขณะที่พื้นลุ่มน้ำยวม จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.ตาก ฝนตกหนัก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วม ถ้าน้ำเหล่านี้ถูกผันมาเก็บไว้ที่เขื่อนภูมิพล นอกจากจะสร้างผลประโยชน์ให้ลุ่มเจ้าพระยา ชาวนาสามารถทำนาปรังได้ ยังจะช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมให้กับลุ่มน้ำยวมและลุ่มน้ำสาขา แถมยังได้พลังงานไฟฟ้าที่สะอาดอีกด้วย

...

โครงการนี้ประกอบด้วยงานหลักๆ งานสร้างอ่างเก็บน้ำในแม่น้ำยวม ความจุ 69 ล้าน ลบ.ม. งานสร้างสถานีสูบน้ำที่บ้านสบเงา งานสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ ยาว 62 กิโลเมตร และงานปรับปรุงลำน้ำแม่งูด ระยะทาง 2 กิโลเมตร เมื่อแล้วเสร็จจะผันน้ำมาเติมเขื่อนภูมิพลได้ปีละประมาณ 1,800 ล้าน ลบ.ม.

ในภาวะโลกร้อน กลายเป็นโลกรวน และเป็นโลกเดือดในขณะนี้ อนาคตข้างหน้าแล้งหนักแน่ เราแก้กันยังไง คำตอบคงอยู่ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน จะตัดสินใจยังไง.

สะ–เล–เต

คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้ามองฟ้าเท้าหยั่งดิน” เพิ่มเติม