"สมศักดิ์" ร่วมยินดีปลดล็อกกระท่อม ครบ 2 ปี แต่คาใจผลักดันเป็นผลิตภัณฑ์พืชกระท่อมไม่ได้ เหตุ อย.กำหนดสารไมทราไจนีนไว้ต่ำ ผู้ประกอบการทำขายไม่ได้ เผยข่าวดี ป.ป.ส.ทุ่มงบ 2 ล้าน ทดลองในหนู ธ.ค.นี้สำเร็จ เพิ่มมาตรฐานกลางใหม่ ชี้ตลาดกระท่อมโลกสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท เตรียมดัน "ฝิ่น-เห็ดขี้ควาย" หวังช่วยเกษตรกรช่วงหน้าแล้ง "พิเชษฐ์" มั่นใจถ้าเพื่อไทยมี ก.เกษตรฯ พร้อมเปลี่ยน รมว.สธ.พืชกระท่อมอนาคตไกลแน่นอน

เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 66 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างการรับรู้ความคืบหน้า การส่งเสริมพืชกระท่อมในเชิงเศรษฐกิจพื้นที่จังหวัดเชียงราย ที่จัดขึ้นโดยสำนักงาน ป.ป.ส. โดยมี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานยุทธศาสตร์การเกษตร พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย สส.พรรคเพื่อไทย จำนวน 12 คน และประชาชนกว่า 500 คน เข้าร่วม

...

โดย นายวิชัย กล่าวรายงานว่า วันที่ 24 ส.ค. 2564 เป็นวันปลดล็อกพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ซึ่งกำลังจะครบรอบ 2 ปี ที่ได้ปลดล็อกพืชกระท่อมให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์และสร้างอาชีพอย่างเต็มที่ โดยนโยบายการปลดล็อกพืชกระท่อมก็มาจาก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม จึงทำให้ประชาชนได้เกิดอาชีพใหม่ๆ รวมถึงเป็นผู้ริเริ่มให้ ป.ป.ส.ทดลองปลูกฝิ่นและเห็ดขี้ควาย เพราะจากการศึกษาพบว่า ประเทศไทยยังต้องนำเข้าเพื่อผลิตมอร์ฟีน โดยหากปลูกในประเทศได้ ก็จะลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้ ซึ่งขณะนี้การทดลองปลูกก็มีความคืบหน้าเป็นลำดับแล้ว

ขณะที่ นายสมศักดิ์ ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม ปาฐกถาพิเศษ "พืชกระท่อมไทย วิถีไทย เพื่อเศรษฐกิจไทย" ว่า พืชกระท่อมได้ถูกปลดล็อก เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2564 ซึ่งผ่านมาแล้ว 2 ปี แต่ตนก็ยังเห็นพี่น้องประชาชนเริ่มอึดอัดกับพืชกระท่อมว่า ทำไมราคาตกและขายไม่ได้ โดยตนก็คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่า จะไม่มีปัญหาเลยถ้าทำทุกอย่างเรียบร้อยในการกำหนดสารไมทราไจนีน ในผลิตภัณฑ์พืชกระท่อมให้มีมาตรฐานกลาง แต่ที่ผ่านมา อย.ก็กำหนดให้ใช้สารไมทราไจนีนในผลิตภัณฑ์พืชกระท่อมที่ต่ำมาก เพียง 0.2 มิลลิกรัมต่อหน่วยเท่านั้น ทั้งที่ในใบพืชกระท่อมมีสารไมทราไจนีนถึง 1.2-1.8 มิลลิกรัม ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถทำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อเจอปัญหา ป.ป.ส.จึงต้องรีบแก้ปัญหา ถึงแม้จะไม่ใช่อำนาจโดยตรงของ ป.ป.ส. แต่เราก็มีความจริงใจกับพี่น้องประชาชน ที่ต้องการให้มีรายได้จากการเพาะปลูกพืชกระท่อม จึงดำเนินการทดลองในหนูแรทเพื่อหาค่ามาตรฐานกลาง จะได้ทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้ ซึ่ง ป.ป.ส.เป็นผู้ออกทุนให้แล้วกว่า 2 ล้านบาท โดยผลทดลองเบื้องต้นถือว่าออกมาดีมาก จึงทำให้ภายในเดือน ธ.ค.นี้ จะสามารถทำรายงานฉบับสมบูรณ์ เพื่อเสนอต่อศูนย์ประเมินความเสี่ยงแห่งประเทศไทย และสำนักงาน อย.เพื่อกำหนดค่ามาตรฐานกลางใหม่ได้ ดังนั้นขอผู้ประกอบการไม่ต้องรีบ รอผลทดลอง ก็จะทำให้สารไมทราไจนีนในผลิตภัณฑ์สูงขึ้นแล้ว ถึงแม้ขณะนี้ จะมีแล้ว 3 บริษัท ที่ได้ อย.ส่งออกต่างประเทศแล้ว

"ราคาพืชกระท่อมถือว่า ยังไม่ได้เสียหายอะไร เพราะพี่น้องคนใต้มองว่า อีก 5 ปี พืชกระท่อมจะไปทั่วโลก เพราะสามารถทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย โดยมีนักวิชาการประเมินมูลค่ากระท่อมทั้งหมดสูงถึง 1.459 ล้านล้านบาท หากเจาะไปที่สหรัฐอเมริกา ที่บริโภคกระท่อมมากที่สุดก็มีมูลค่าสูงถึงปีละ 4 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจากนี้ผมก็ขอให้ทุกคนช่วยกันปกป้องพืชกระท่อม อย่าปล่อยให้มีการนำไปผสมกินกับอย่างอื่น จะทำให้พืชกระท่อมเสียหาย ซึ่งที่ผ่านมา ป.ป.ส.ทำงานด้วยใจ และขณะนี้ก็กำลังทดลองปลูกเห็ดขี้ควาย เพื่อจะได้เป็นทางเลือกให้กับพี่น้องเกษตรกร เนื่องจากในช่วงหน้าแล้งเราจะปลูกข้าวอย่างเดียวไม่ได้อีกแล้ว โดยเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 66 ครม.ก็ได้อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดพื้นที่ทดลองปลูกและสกัดสารสำคัญจากฝิ่น และพืชเห็ดขี้ควายแล้ว เพื่อผลิตยามอร์ฟีน-ต้านซึมเศร้า และลดการนำเข้าจากต่างประเทศ หากในอนาคตสามารถทำได้ ก็จะทำให้เกษตรกรมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น" นายสมศักดิ์ กล่าว

...

ด้าน นายพิเชษฐ์ กล่าวบรรยายพิเศษ "แนวทางการพัฒนา การปลูกพืชกระท่อม การแปรรูป และการตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ" ว่า เรื่องนี้ประชาชนให้ความสนใจเรื่องพืชกระท่อมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นอาชีพใหม่ที่มีอนาคตอยู่ ซึ่งถ้าไม่มีนายสมศักดิ์ก็ไม่มีวันนี้ จึงถือว่านายสมศักดิ์เป็นบิดาพืชกระท่อม โดยที่ผ่านมาพอเรื่องนี้เข้าสภาฯ ยอมรับว่า ตอนแรกไม่ได้สนใจ แต่พอพิจารณารายมาตรา จึงเห็นว่าเป็นประโยชน์ และมีอนาคตไกลอย่างแน่นอน ต่างกับลำไยที่มีปัญหามากกว่า ทำให้บางปีได้ผลผลิตน้อย จึงขอให้เกษตรกรที่ปลูกพืชกระท่อมไปขอมาตรฐานจีเอพี ที่เกษตรอำเภอ เพื่อจะได้ส่งออกต่างประเทศได้ ซึ่งถ้าเราส่งออกได้เหมือนยางพารา พืชกระท่อมก็จะมีอนาคต เพราะทั่วโลกใช้เป็นยาแก้ปวด ที่พบว่าดีกว่ามอร์ฟีนถึง 17 เท่า ดังนั้นอย่าเพิ่งตัดทิ้งถึงแม้ที่ผ่านมาจะยังไม่สามารถขายต่างประเทศได้ แต่ถ้าส่งออกได้ก็จะเป็นอาชีพที่มั่นคง เพราะเป็นพืชยืนต้น โดยตนคิดว่าถ้าเรามี รมว.เกษตรฯ และเปลี่ยน รมว.สาธารณสุข ก็จะทำให้พืชกระท่อมมีอนาคตอย่างแน่นอน

ส่วน นางสาวสกุณา สาระนันท์ สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การผ่านกฎหมายพืชกระท่อมในเวลานั้น พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน แต่ได้ร่วมออกเสียงให้กฎหมายฉบับนี้ผ่าน เพราะเป็นประโยชน์แก่สังคม ซึ่งต้องขอบคุณ นายสมศักดิ์ และ ป.ป.ส.ที่ได้ริเริ่ม โดยเวลานี้กฎหมายใช้มากว่า 2 ปี แต่ยังไม่สามารถทำประโยชน์ให้กับประชาชนในด้านการต่อยอดทางเศรษฐกิจ เพราะการทำงานของ อย.ในเรื่องระบบการควบคุมสารเคมี ต้องใช้งบประมาณรวมถึงระยะเวลา กฎระเบียบต่างๆ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากพืชเหล่านี้ ซึ่งกระท่อมมีมูลค่าทั่วโลกที่นำไปทำเป็นอาหาร เครื่องดื่มชูกำลัง รวมถึงนำไปทำยา มีมูลค่าในตลาดทั่วโลกประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ดังนั้นจะปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไม่ได้ เมื่อมีรัฐบาลต้องเร่งดำเนินการผลักดันในเรื่องการกำหนดค่าสาร รวมถึงสนับสนุนให้เอกชนขึ้นทะเบียนทำธุรกิจ เมื่อเป็นเช่นนั้นได้พืชกระท่อมจะเป็นต้นแบบ เพื่อพัฒนาพืชสมุนไพรอื่นๆ ต่อไป ที่จะสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนได้

...