วัดศรีสุพรรณ ยันมูลค่าพระสำฤทธิ์กรุแตก ไม่ถึงองค์ละ 10 ล้านบาท พร้อมเก็บรักษาไว้ที่ปลอดภัย รอนักโบราณคดีเข้าตรวจสอบ เจ้าอาวาสเผยบูรณะล่าสุดปี 2518 ลุ้นบูรณะใหม่เป็นองค์พระธาตุเงิน ส่วนชาวบ้านแห่กราบองค์พระธาตุก่อนเก็บกู้ซาก
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 65 จากกรณีองค์พระธาตุ อายุราว 522 ปี ภายในวัดศรีสุพรรณ ต.หายยา อ.เมืองเชียงใหม่ พังถล่มลงมาเมื่อช่วงเย็นวานนี้ ซึ่งปรากฏว่าพบพระพุทธรูปโบราณจำนวนหนึ่งที่บรรจุในองค์พระธาตุ โดยตลอดทั้งวันนี้ ประชาชนที่ทราบข่าวเดินทางไปที่วัดเพื่อกราบสักการะองค์พระธาตุก่อนที่จะมีการเก็บกู้เพื่อบูรณะใหม่ ส่วนใหญ่รู้สึกตกใจและสะเทือนใจเพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
ด้านคณะกรรมการวัดศรีสุพรรณได้นำพระพุทธรูปที่พบจากกรุแตกทั้งหมดไปทำบัญชีและเก็บรักษาไว้ เบื้องต้นเป็น พระเนื้อสัมฤทธิ์ 6 องค์ และพระแก้วขาว 12 องค์ รวมทั้งเศษหินขาวที่ยังไม่ได้เจียระไนอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกบรรจุไว้ในโถโลหะใต้ยอดปลีฉัตร
นายปรีชา ขันธนันท์ ประธานกรรมการวัดศรีสุพรรณ กล่าวว่า ทางวัดได้ทำตรวจนับทำบัญชีและเก็บไว้ในที่ปลอดภัย ส่วนที่มีบางสื่อเสนอข่าวไปว่าพระพุทธรูปเก่าแก่ที่พบหลังกรุแตกมีมูลค่าถึงองค์ละ 10 ล้านบาท ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงและไม่ได้มีมูลค่าสูงขนาดนั้น แต่ตอนนี้ยังประเมินราคาไม่ได้ ต้องรอนักโบราณคดีมาตรวจสอบอายุและขึ้นทะเบียนอีกครั้ง ส่วนในช่วงนี้ทางวัดได้ขอเจ้าหน้าที่และชาวบ้านเข้ามาช่วยกันดูแลพื้นที่ไม่ให้ใครเข้าไปค้นหาพระในพื้นที่องค์พระธาตุ
ด้านนายเทิดศักดิ์ เย็นจุระ ผู้อำนวยการกลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักโบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ 7 เปิดเผยว่า โบราณวัตถุที่พบฝังไว้ในพระธาตุ ทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ จะเข้ามาทำทะเบียนและพิสูจน์ว่าอยู่ในยุคสมัยใด หลังจากนั้นก็จะให้ทางวัดเป็นผู้เก็บรักษาไว้ตามเดิม
ส่วนในประเด็นที่ทางวัดได้มีการบูรณะซ่อมแซม ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าบูรณะมาแล้วกี่ครั้ง แต่จากการสอบถามทราบเพียงครั้งล่าสุดเมื่อประมาณ 60 ปี ก่อน เป็นการก่อปูนครอบและทาสีทองทับ โดยที่กรมศิลปากรไม่ได้เข้ามาดูแลเนื่องจากไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ทำให้ไม่ทราบรายละเอียดในการบูรณะ
...
ส่วนการเก็บกู้ซากองค์พระธาตุ คงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร โดยจะประสานทั้งทางเทศบาลนครเชียงใหม่และวัดศรีสุพรรณ ในการเก็บชิ้นส่วนต่างๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ทางศิลปกรรมให้ได้มากที่สุด ส่วนการจะรื้อเจดีย์ลงมาทั้งหมดหรือไม่นั้น ต้องขอดูโครงสร้างหลักจากที่รื้อเศษอิฐออกมาก่อน และนักโบราณคดีเข้ามาตรวจสอบอีกครั้งว่ารูปแบบเป็นอย่างไร
ความเสียหายที่เกิดกับโบราณสถานถึงสองครั้งในหนึ่งสัปดาห์ คือ เหตุการณ์ประตูช้างเผือก และพระธาตุวัดศรีสุพรรณ ที่พังถล่มลงมาโดยมีสาเหตุจากฝนตกหนักสะสม นายเทอดศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เพียงแต่สิ่งปลูกสร้างที่ลอยตัวอยู่บนชั้นดินเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่น่าเป็นห่วง แต่สิ่งที่น่าห่วงไม่น้อยกว่ากันคือกำแพงเมืองโบราณหลายจุด เช่น แนวกำแพงดินที่เป็นกำแพงเมืองชั้นนอก หรือแนวกำแพงเวียงสวนดอก ที่มีลักษณะกำแพงเหลือเป็นเนินดิน มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม เมื่อฝนตกหนักมากและสะสมมีความเสี่ยงเกิดดินเคลื่อนตัวเป็นอันตรายต่อบ้านเรือนประชาชนที่สร้างบ้านพักที่อยู่อาศัยประชิดติดกับแนวกำแพง ส่วนโบราณสถานอื่นๆ ทางสำนักศิลปากรที่ 7 จะเร่งตรวจสอบเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอีก
ขณะที่ พระครูพิทักษ์สุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดศรีสุพรรณ เผยว่า วัดสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2043 หรือเมื่อ 522 ปีก่อน จากนั้นมีการสร้างวิหาร พระบรมธาตุเจดีย์ อุโบสถ และผูกพัทธสีมา ในปี พ.ศ. 2052 ที่ผ่านมามีการปฏิสังขรองค์พระธาตุเจดีย์มาหลายยุคสมัย แต่ไม่ได้มีบันทึกรายละเอียดได้ว่าเมื่อไหร่และทำอะไรไปบ้าง ทราบแต่ครั้งล่าสุดบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2518 รูปทรงก็ปรับเปลี่ยนไปตามภูมิปัญญาช่างชาวบ้านเนื่องจากไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ส่วนการบูรณะซ่อมแซมองค์เดิมคงทำไม่ได้แล้ว เพราะถล่มเสียหายไปเกือบทั้งหมด ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะบูรณะรื้อฟื้นให้เป็นรูปแบบเดิม หรือจัดสร้างเป็นองค์พระธาตุเงินทั้งองค์ เพื่อให้เป็นไปตามบริบทของชุมชนที่เป็นช่างทำเครื่องเงินและให้เข้ากับอุโบสถเงินของวัดที่เป็นหนึ่งเดียวในโลก จะต้องปรึกษาหาความเป็นไปได้ร่วมกับสำนักศิลปากรที่ 7 รวมทั้งสถาปนิกและวิศวกรเสียก่อน