หัวโจกตุ๋นขายโทรศัพท์มือถือให้ “น้องก้อง” ยกมือขอโทษครอบ ครัวเหยื่อ ขณะตำรวจคุมตัวส่งเข้าทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ หลังพนักงานสอบสวน ยื่นขอฝากขังต่อศาลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ พร้อมคัดค้านการประกันตัว ขณะที่ตำรวจ สอท.บุกตรวจค้นรีสอร์ตที่พ่อผู้ต้องหากับภรรยาใหม่เข้าพัก ยึดเงิน 7 แสนบาท ที่เตรียมไว้ประกันตัว พร้อมรถและโทรศัพท์มือถือ ผบช.สอท.แฉผู้ต้องหาว่าจ้างเปิดบัญชีโจ๋งครึ่มทางโซเชียล มีบัญชีมากกว่า 143 บัญชี มีผู้ตกเป็นเหยื่อแก๊งนี้แจ้งความกว่า 40 ราย เร่งสรุปข้อมูลส่งท้องที่เพื่อออกหมายจับและอายัดตัว

ตำรวจส่งฝากขัง น.ส.พิยดา ทองคำพันธ์ อายุ 19 ปี ตัวการใหญ่แก๊งตุ๋นขายโทรศัพท์มือถือให้ “น้องก้อง” นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จนเครียดเส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิตสลด ส่งไปควบคุมตัวในทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่แล้ว โดยเมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 29 ก.ย. พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.1 บก.สอท.2 บช.สอท.นำกำลังพร้อมหมายศาลบุกเข้าตรวจค้นห้องพักเลขที่ เอ 1 รีสอร์ต “บ้านสวนสุธรรมา” หมู่ 3 ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ที่นายกลยุทธ ทองคำพันธ์ อายุ 45 ปี พ่อของ น.ส.พิยดา และแม่เลี้ยงของ น.ส.พิยดาเข้าพัก ยึดเงิน 7 แสนบาท รถเก๋งบีเอ็มดับบลิวเอ็กซ์ 1 ทะเบียน 2 ขฎ 9393 กรุงเทพมหานคร และโทรศัพท์ไอโฟน 4 เครื่อง ก่อนนำส่ง พ.ต.ต.กิตติพันจิ์ สุขะวัฒนาช์ สว. (สอบสวน) สภ.นาหวาย เจ้าของคดีเพื่อตรวจสอบ

นายกลยุทธ ทองคำพันธ์ พ่อผู้ต้องหา และภรรยา กล่าวกับสื่อมวลชนหลังมาถึง สภ.นาหวาย ว่า วอนตำรวจให้ความเป็นธรรมกับลูกสาวตนบ้าง เงินที่เตรียมมาประกันตัวก็ถูกยึด รถและโทรศัพท์ก็ถูกยึดติดต่อใครไม่ได้ พร้อมย้ำว่าเมื่อคืนได้คุยกับลูกสาวหน้าห้องขัง ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนทำ ซัดทอดว่าคนโกงผู้เสียหายจริงๆแล้วเป็นฝ่ายครอบครัวแฟนหนุ่มของลูกสาว พร้อมย้ำว่าทรัพย์สินของลูกสาวได้มาจากการขายเสื้อผ้าออนไลน์ อยากให้ตำรวจช่วยตรวจสอบเส้นทางการเงินของครอบครัวแฟนน้องพิยดา อย่าโยนความผิดให้น้องฝ่ายเดียว

...

ต่อมาตำรวจเบิกตัว น.ส.พิยดา ผู้ต้องหา มาสอบ ปากคำเพิ่มเติม ยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยระบุข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อประชาชน รวมทั้งฟอกเงิน ซึ่งเป็นข้อหาที่แจ้งเพิ่มเมื่อคืนที่ผ่านมา ศาลอนุญาตตามคำร้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่ตำรวจคุมตัว น.ส.พิยดาขึ้นรถห้องขังเพื่อส่งไปควบคุมตัวที่ทัณฑ สถานหญิงเชียงใหม่ น.ส.พิยดามีสีหน้าเศร้าสลดน้ำตาไหลพราก กล่าวกับผู้สื่อข่าวสั้นๆว่า “ตอนนี้รู้สึกเสียใจที่ทางบ้านโน้นซัดหนูเต็มที่โดยว่าหนูใช้เขาเป็นเครื่องมือ แต่ไม่เป็นไรค่ะ โดยหนูยืนยันว่าไม่ได้ทำ” ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า อยากจะพูดอะไรถึงครอบครัวน้องก้องบ้าง น.ส.พิยดากล่าวพร้อมยกมือพนมว่า อยากฝากขอโทษครอบครัวของน้องด้วย

ด้านนายวิเชียร อินเรน ทนายความของ น.ส.พิยดา เปิดเผยว่า ได้นำหลักทรัพย์มูลค่า 4 แสนบาทไปยื่นขอประกันตัวผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกัน เนื่องจากพนักงาน สอบสวนคัดค้านการขอประกันตัว เพราะเกรงผู้ต้องหาจะหลบหนี ตนจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อไป

ส่วน พ.ต.อ.สกุลรัชช์ คงทอง ผกก.สภ.นาหวาย กล่าวถึงความคืบหน้าทางคดีว่า ตอนนี้การสืบสวนขยายผล ทาง สอท.เป็นแม่งาน ส่วนการสอบสวน คาดว่าอาทิตย์หน้าพนักงานสอบสวนจะสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป

ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท. กล่าวถึงการสืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมผู้ร่วมขบวนการว่า คดีนี้มีการใช้บัญชีธนาคารของบุคคลอื่น หรือ “บัญชีม้า” มากกว่า 143 บัญชีเพื่อส่งถ่ายเงินไปยังบัญชีส่วนตัวของผู้ต้องหา มีบัญชีที่มีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงตัวของผู้ต้องหาชัดเจนประมาณ 17 บัญชี เบื้องต้นทราบว่าผู้ต้องหาประกาศว่าจ้างเปิดบัญชีในโลกโซเชียลอย่างชัดเจน ตรวจสอบข้อมูลการแจ้งความของตำรวจทั่วประเทศพบว่า มีคดีที่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความเอาผิดผู้ต้องหามากกว่า 40 คดีทั่วประเทศ เฉพาะในพื้นที่ บช.น.มีกว่า 20 คดี ทาง บช.สอท.จะเร่งสรุปข้อมูลส่งให้ตำรวจท้องที่เพื่อออกหมายจับและอายัดตัวผู้ต้องหาต่อไป

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีเด็กหรือเยาวชนตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ในหลายรูปแบบ 1.การเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีลักษณะเนื้อหาไม่เหมาะสม 2.การถูกหลอกเอาภาพที่ไม่เหมาะสมของเด็กและอาจนำไปสู่การล่วงละเมิดทางเพศเด็ก 3.การหลอกขายสินค้า บริการหรือไอเท็มเกม และ 4.การล่วงละเมิดบุคคลอื่นทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยขอความร่วมมือผู้ปกครอง พ่อ แม่ และครู อาจารย์ ช่วยกันให้ความรู้ และเฝ้าระมัดระวังและสอดส่องการใช้เทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตของเด็กให้เป็นไปตามวัยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อตัวเด็ก และขอความร่วมมือประชาชน หากพบเห็นเว็บไซต์ใดที่มีการนำเสนอข้อมูลที่ผิดกฎหมายและอาจเป็นภัยกับเด็กและเยาวชน แจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

...