ทุกวันนี้มีเกษตรกรจำนวนไม่น้อยยึดอาชีพการเลี้ยงผึ้ง เนื่องจากมีรายได้ดี ประกอบกับในปัจจุบันผึ้งที่อาศัยทำรังอยู่ในธรรมชาติเริ่มลดน้อยลง

ส่วนการเลี้ยงก็มีวิธีการแตกต่างกันไป น้ำผึ้งที่มีคุณภาพดีที่สุดคือน้ำผึ้งเดือน 5 เพราะเป็นช่วงแล้งไม่มีส่วนผสมของสิ่งอื่นใด เป็นน้ำผึ้งล้วนๆ มีรสชาติหอมหวาน

นายณรงค์ ฟองศักดิ์ หรือ “รองรงค์” รองนายกเทศมนตรีตำบลหนองแฝก อ.สารภี จ.เชียงใหม่ หนึ่งในผู้เลี้ยงผึ้ง เล่าว่า เดิมมีอาชีพทำสวนลำไย ต่อมาหันไปเลี้ยง “ผึ้งโก๋น” หรือ “ผึ้งโพรง” บริเวณสวนลำไยที่ปลูกอยู่รอบบ้าน

โดยใช้วิธีนำท่อนไม้มาเจาะเป็นโพรง หรือจะใช้ลังไม้ก็ได้ เจาะรูเล็กเพื่อล่อให้ผึ้งป่าเข้าไปอาศัยทำรังช่วงประมาณเดือน ม.ค. ปล่อยไว้กระทั่งถึงเดือน พ.ค.จึงเก็บน้ำผึ้ง วิธีการเก็บก็ทำง่ายๆคือสวมชุดป้องกันผึ้งต่อย

ยกโก๋นผึ้งไปวางไว้ในที่แดดร้อนจัด โดยมีโก๋นสำรองวางอยู่ใกล้ๆ

จากนั้นก็ยกรังผึ้งออกจากโก๋นหรือโพรง ตัวผึ้งก็จะบินหนีเข้าไปอยู่ในโก๋นสำรอง นำรังผึ้งห่อด้วยผ้าขาว ห่อด้วยถุงพลาสติกอีกชั้น นำไปแขวนไว้ น้ำผึ้งจะหยดผ่านผ้าขาวลงในถุงพลาสติก นำไปบรรจุขวดขายได้เลย ส่วนไขของผึ้งนำไปปิ้งหรือนึ่งรับประทานได้ รสชาติอร่อย

ส่วนตัวผึ้งหลังเข้าไปอาศัยอยู่ในโก๋นสำรอง 1 คืน ก็จะบินจากไป รอกระทั่งถึงเดือน ม.ค. ผึ้งก็จะบินกลับมาทำรังใหม่ หมุนเวียนกันไปอย่างนี้ทุกปี

สมัยโบราณน้ำผึ้งจัดเป็นอาหารธรรมชาติมีสรรพคุณทางยา เกิดจากน้ำหวานเกสรดอกไม้ที่ผึ้งบินไปเก็บแล้วใช้กระบวนการตามธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง รวมถึงสภาวะแวดล้อมของพืชชนิดนั้นๆ

น้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งป่ากับผึ้งที่เลี้ยงตามฟาร์มจะแตกต่างกันไป เดือน 5 เป็นเดือนที่อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ช่วงนี้ดอกไม้ พืชพรรณในป่าผลิดอกออกใบ ทำให้ผึ้งเก็บน้ำหวานและเกสรดอกไม้ได้หลากหลายพันธุ์

...

ที่สำคัญอากาศเดือน 5 มีความชื้นน้อยมาก น้ำผึ้งที่ได้จึงมีความเข้มข้นสูง เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ น้ำผึ้งที่เก็บได้จะจำหน่ายขวดละ 300 บาท

นับเป็นรายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว...!!!

ชัยพินธ์ ขัติยะ