แพทย์ผิวหนัง รพ.พุทธชินราชฯ ระบุหนุ่มใหญ่ชาววังทอง "หนังเน่า" เป็นโรค "เพมฟิกัส" โรคเดียวกับ วินัย ไกรบุตร เกิดจากพันธุกรรมบวกปัจจัยภายนอก คาดขาดยาทำอาการกำเริบ
เวลา 10.00 น. วันที่ 18 มิ.ย.62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แพทย์โรงพยาบาลวังทองได้ส่งตัว นายวิโรจน์ นุชเจ็ก อายุ 51 ปี บ้านเลขที่ 733 หมู่ 7 ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ผู้ป่วยโรคผิวหนังที่มีอาการรุนแรงและเจ็บปวดทรมานจากบาดแผลที่เกิดขึ้นตามผิวหนังทั่วร่างกาย ทั้งขอบตา ใบหน้า ในปาก แขน ขา หน้าอก และแผ่นหลัง มารักษาต่อที่โรงพยาบาลพุทธชินราชพิษณุโลก เพื่อพบกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังที่เคยให้การรักษาตัวมาตั้งแต่ปี 2560 โดยมี นางจันทร์จิรา หลำชาวนา อายุ 52 ปี นายจรูญ นุชเจ็ก อายุ 30 ปี บุตรชาย น.ส.สมคิด นุชเจ็ก อายุ 40 ปี น้องสาว และนายจำลอง นุชเจ็ก น้องชายนายวิโรจน์ตามมาคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
(อ่านข่าวเดิม สุดทรมาน หนุ่มป่วย"หนังเน่า" รับจ้างฉีดยาฆ่าหญ้า ซึมซาบสารเคมี)
เมื่อถึงโรงพยาบาลวังทอง นำส่งตัวนายวิโรจน์ที่อาคารผู้ป่วยนอก นายแพทย์นเรศ วิไลสกุลยง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโรงพยาบาลพุทธชินราชพิษณุโลก ตรวจอาการเบื้องต้นแล้ว ได้สั่งให้กินยาเดิมที่เคยจัดให้หลังเข้ารับการรักษาตัวมาก่อนหน้านี้ และให้ญาติทำเรื่องเข้านอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลพุทธชินราช เนื่องจากมีอาการหนัก พร้อมส่งตัวเข้าห้องเอกซเรย์
นายแพทย์นเรศ เปิดเผยว่า นายวิโรจน์ ป่วยเป็นโรคเดียวกับ "วินัย ไกรบุตร" คือโรคเพมฟิกัส ที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติไปทำลายเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวหลุดลอกออกจากกัน ซึ่งมีปัจจัยของการเกิดโรคนี้ทางพันธุกรรม และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมมีบทบาทร่วมกันในการก่อโรค โรคนี้จะต้องกินยานานเป็นปี
...
สำหรับอาการของนายวิโรจน์ ลักษณะของการขาดยา เพราะการรักษาโดยกินยาตั้งแต่รักษามาจนเหลือกินยาเพียง 4 เม็ด ก็สามารถคุมอาการได้แล้ว แต่ระยะหลังบอกว่าไปหาญาติแล้วเอายาไปน้อยกินหมดก่อน เมื่อไม่มียา อาการก็กำเริบ อาการกลับมาใหม่ ต้องให้ยากินใหม่ โรคนี้สามารถรักษาได้ แต่ไม่หายขาด หากร่างกายอ่อนแอหรือขาดยา ก็จะกลับมาเป็นใหม่ ถือว่าเป็นโรคประจำตัว แพทย์เกี่ยวกับโรคผิวหนังจะทราบเกี่ยวกับโรคนี้เป็นอย่างดี ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้ในจังหวัดพิษณุโลกนั้นพบไม่มาก แต่ก็มีหลายคน ไม่ใช่โรคแปลกใหม่หรือหายากแต่อย่างใด นายแพทย์นเรศ กล่าวในตอนท้ายสุด
ด้าน นางจันทร์จิรา หลำชาวนา ภรรยานายวิโรจน์ กล่าวว่า หลังจากนายวิโรจน์เป็นโรคนี้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา พอพบแพทย์กินยาแล้วอาการบรรเทาลง ก็ยังเข้ากรุงเทพฯ ไปทำจ้างทำงานก่อสร้างโดยมีหน้าที่ปูกระเบื้อง เพราะต้องหารายได้เลี้ยงครอบครัวและใช้หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ อ.วังทอง ที่กู้มาลงทุนทำไร่ข้าวโพดแต่ประสบปัญหาภัยแล้งจนขาดทุน แต่ก็นำยาติดตัวไปกินด้วยไม่เคยขาดยา
"คาดว่าขณะเกิดอาการเป็นตุ่มพองแล้วแตก เศษฝุ่นกระเบื้องคงปลิวเข้าแผลที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการสะสม กระทั่งเป็นมากขึ้น จึงกลับมาอยู่บ้าน และอาการกำเริบทำให้เป็นแผลไปทั่วตัวดังกล่าว ซึ่งสอบถามสามีแล้วก็ไม่เคยขาดการทานยาแต่อย่างใด หากเป็นไปได้ก็อยากให้แพทย์เปลี่ยนตัวยาใหม่อาจจะทำให้อาการดีขึ้นแต่ต้องขอขอบคุณแพทย์ที่โรงพยาบาลวังทองและแพทย์ของโรงพยาบาลพุทธชินราชที่ดูแลรักษาอาการของสามีเป็นอย่างดีเสมอมา".