“โยนกนคร” หนึ่งในเมืองแห่งตำนานที่มีความเชื่อกันว่าล่มสลายจมหายลงไปใต้บาดาลก็ด้วยเพราะพลังฤทธิ์พญานาค

บันทึกหลักฐานที่มีอยู่ต่างพุ่งเป้าไปที่ “วัดป่าหมากหน่อ” อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงรายเขตติดต่ออำเภอเชียงแสน สะท้อนชัดว่าเป็นที่ตั้งของเมืองโยนกนคร ผนวกกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุยืนยันได้ว่าดินแดนแห่งนี้อยู่ระหว่างยุคหินใหม่ถึงไม่เกินพุทธศตวรรษที่ 19

ยิ่งเมื่อผนวกรวมกับตำนานโบราณที่บอกเล่ากล่าวขานสืบต่อๆกันมาก็ดูเหมือนจะตรงกันว่า “เจ้าชายสิงหนวัติกุมาร” ได้พาผู้คนมาหาที่ตั้งเมืองใหม่ พอมาถึงแม่น้ำโขงก็พบพญานาคจำแลงเป็นชายมาบอกสถานที่สร้างเมืองว่าบริเวณเมืองโยนกนครนี้แหละอุดมสมบูรณ์เหมาะสมเป็นอย่างมาก

จึงได้ตั้งเมือง “โยนกนาคพันสิงหนวัติ” ขึ้นมา โดยเอาชื่อองค์ผู้สร้างเมืองรวมถึงชื่อนาค หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า “โยนกนครหลวง” ซึ่งมีกฎกติกาข้อแม้สำคัญว่าผู้คนในเมืองโยนกฯจักต้องรักษาศีล ห้ามผิดสัจจะ เมืองโยนกนครก็จักเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นไม่มีวันล่มสลาย

วันเวลาผ่านล่วงเลยมานานหลายศตวรรษนับได้กว่า 450 ปี...กระทั่งมาถึงยุคสมัย “พญามหาไชยชนะ” กษัตริย์องค์ที่ 45 ของเมืองโยนก–นคร...อยู่ๆมาวันหนึ่งชาวบ้านได้จับปลาไหลเผือกมาได้ตัวหนึ่ง ที่แปลกประหลาดไม่ธรรมดาด้วยมีลำตัวใหญ่เหลือคณาเท่ากับต้นตาล ยาวกว่า 7 วา...จึงได้พากันเอาไปถวายให้กับเจ้าเมือง

เจ้าเมืองจึงสั่งให้เอาไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านโดยถ้วนทั่ว แต่ก็ได้มีหญิงชราผู้หนึ่งชื่อว่า “แม่บัวเขียว” คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้กินเนื้อปลาไหลเผือกตัวนี้ ในค่ำคืนนั้นเองยามหลับอยู่ก็ได้ฝันเห็นว่ามีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วถามว่าในเมืองมีอะไรกันหรือ เอาอะไรมาทำกินกันถึงหอมทั่วทั้งเมือง เลยได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด

...

ทว่า...แท้จริงแล้วชายคนนี้ก็คือพญานาคแปลงกายมาตามหาลูกชายที่แปลงร่างเป็นปลาไหลขึ้นมาเล่นน้ำ เมื่อรู้ความจริงว่าลูกชายของตนตายแล้วจึงรู้สึกโกรธมากและในฝันยังบอกกับแม่บัวเขียวว่าในค่ำคืนนี้ถ้ามีเสียงดังอย่าได้ออกไปไหนอย่างเด็ดขาดให้อยู่แต่ในบ้านเท่านั้น...กระทั่งรุ่งเช้าไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ตื่นมาก็พบว่า “เมืองโยนกนคร” ได้ล่มสลายเป็นหนองน้ำ เหลือแต่บ้านแม่บัวเขียวเท่านั้น

บริเวณ “วัดป่าหมากหน่อ”...เป็นเกาะอยู่ติดกับหนองน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “หนองหลวง” หรือ “เมืองหนอง” บ้าง...ก็เรียกกันว่า “เวียงหนอง” หรือ...“เวียงหนองหล่ม”

บริเวณนี้เองได้มีการขุดพบหลักฐานโบราณวัตถุหลายต่อหลายชิ้น สะท้อนให้รู้ได้ว่าเคยเป็นวัดมาแต่เก่าก่อนในอดีต ไม่ว่าจะเป็นซากเจดีย์ เนินวิหาร...อุโบสถ กระทั่งบ่อน้ำสำหรับสรงพระเจดีย์ นับรวมไปถึงเศษอิฐโบราณ เครื่องปั้นดินเผาจำนวนมาก อีกทั้งยังพบพระพุทธรูปหลายองค์

ชื่อ...วัดป่าหมากหน่อ ที่มาที่ไปด้วยเป็นเพราะสมัยก่อนมีคนพบเห็นต้นหมากเล็กๆ เรียกเป็นคำเมืองว่า...หมากหน่อ ขึ้นอยู่บนเกาะนี้จำนวนมาก แต่ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว

นอกจากนี้บริเวณนี้ยังได้ชื่อว่าเป็น “เกาะแม่ม่าย” ด้วยเพราะเมื่อครั้งเกิดเสียงแผ่นดินเลื่อนลั่นสนั่นหวั่นไหวจมบาดาลในอดีตกาลนั่นเอง แม่บัวเขียวที่รอดชีวิตมาได้นั้นเธอเป็นแม่ม่ายที่ไม่ได้กินเนื้อปลาไหลเผือกเพียงคนเดียว ในกาลต่อมา...ได้ถูกสร้างขึ้นเป็นวัดที่เห็นในปัจจุบันเมื่อใดนั้นยังไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจน

กระทั่งปี 2523 ได้มีสามเณรรูปหนึ่งธุดงค์มาบำเพ็ญสมณธรรม ได้นิมิตดีจึงได้ทำการบูรณะให้กลับฟื้นคืนเป็นวัดขึ้นมาอีกครั้ง ท่านได้สร้างกุฏิกรรมฐานหนึ่งหลัง โรงครัว ห้องน้ำ

ตามบันทึกระบุว่าสามเณรรูปนี้เป็นที่เคารพนับถือของชาวพุทธภาคเหนือเป็นอย่างมากมีนามว่า “พระหน้อย” มีชื่อจริงว่า “สามเณรบุญชุ่ม ทาแกง” พอผ่านไปปีเดียวก็ได้ธุดงค์ต่อไปยังวัดพระนอนประเทศพม่า อุปสมบทเป็นพระภิกษุประจำวัดพระธาตุดอนเรือง วันนี้รู้จักกันดีในนาม “ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร” นั่นเอง

...

ผ่านยุคสามเณรบุญชุ่มนักพัฒนา...“วัดป่าหมากหน่อ” ก็ถูกปล่อยทิ้งรกร้างไว้อีกครา กระทั่งราวๆปี 2527 ได้มีพระธุดงค์มาจำพรรษาอีกครั้ง ตามบันทึกระบุว่าท่านมีนามว่า “พระอาจารย์สมศักดิ์ กิติธัมโม” นำคณะรวมพลังศรัทธามาพัฒนา วัด สร้างพระประธาน ตั้งชื่อว่า “พระพุทธทศพลญาณ”

อีกทั้งยังสร้างทางข้ามหนองน้ำเข้าสู่วัด ขุดบ่อน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค แล้วก็ธุดงค์ต่อไปอีก...วัดถูกทิ้งร้างอีกราว 5 เดือนก็มีสามเณรธุดงค์มาประจำอีกรูปนามว่า...“สามเณรพันธ์ธิพย์ แสงคำ” อยู่ได้ 3 เดือนญาติโยมขึ้นมาทำบุญกันมากนำพาคณะผู้ศรัทธามาก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆมากมาย รวมถึง...“พระธาตุโยนกนคร แสงคำ”

...

รุ่งเรืองกลายเป็นศูนย์รวมศรัทธาชาวพุทธ สถานที่บำเพ็ญบุญ ผู้คนมากหน้าหลายตามีโอกาสแวะไป ไม่พลาดที่จะมุ่งหน้าไปที่ “บ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์” ข้างๆพระธาตุเอามาลูบหน้าลูบตาเพื่อเป็นสิริมงคล

“ศรัทธา” นำมาซึ่ง “ปาฏิหาริย์” เชื่อไม่เชื่ออย่างไรโปรดอย่าได้ “ลบหลู่”.


รัก–ยม