5 จังหวัดภาคเหนือ “เชียงใหม่-ลำปาง-ลำพูน-น่าน-ตาก” อากาศยังไม่ดี มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยรองแม่ทัพภาค 3 ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนทางอากาศ วางแผนดับไฟป่าดอยขะม้อ จ.ลำพูน ด้านกรมป่าไม้ขอความร่วมมือหยุดเผาทุกกรณี ชี้ไม่ใช่มีแค่บทลงโทษทางอาญา จะเจอฟ้องชดใช้ทางแพ่งด้วย

เจ้าหน้าที่ยังคงระดมกำลังดับไฟป่าทางภาคเหนือ ที่เป็นต้นเหตุของควันพิษที่ปกคลุมในหลายจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ก.พ. ที่ศูนย์บัญชาการควบคุมสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือกองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า ค่ายกาวินละ จ.เชียงใหม่ พล.ต.บัญชา ดุริยพันธ์ รองแม่ทัพภาคที่ 3 เปิดเผยว่า ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ออกลาดตระเวนทางอากาศตรวจพื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด อ.สันทราย และดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ เบื้องต้นไม่พบไฟป่าแต่พบหมอกควันปกคลุมไปทั่วบริเวณ จากนั้นบินสำรวจพื้นที่ จ.ลำพูน เพื่อหาแหล่งน้ำเตรียมแผนในการดับไฟป่าเกิดขึ้นหลายจุดบนเทือกเขาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของดอยขะม้อ อ.เมืองลำพูน นอกจากนี้ สั่งให้ทหาร กกล.รส.จ.ลำพูน ประสาน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผวจ.ลำพูน เพื่อร่วมกันวางแผนเข้าไปดับไฟป่าโดยเร็ว

ส่วนที่ จ.ขอนแก่น หลังเจอปัญหาควันพิษเช่นกัน โดยส่วนหนึ่งมาจากการเผาไร่อ้อย-ที่นา ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ไร่อ้อย หมู่ 4 บ้านทรัพย์สมบูรณ์ ต.ทุ่งโปร่ง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น หลังทราบว่าเจ้าของไร่ตัดอ้อยตามลำพัง และพบกับนายประเสริฐ แก้วพิพรม อายุ 53 ปี เจ้าของไร่อ้อยและภรรยา กำลังตัดอ้อยมีเนื้อที่กว่า 10 ไร่ โดยนายประเสริฐเปิดเผยว่า ติดตามข่าวสารทราบว่าการเผาไร่อ้อยสร้างมลพิษทางอากาศมีผลกระทบต่อประชาชน จึงตัดสินใจไม่เผาไร่อ้อย ส่งผลให้แรงงานปฏิเสธการว่าจ้างตัดอ้อย อ้างว่าตัดยากต้องฝ่าดงใบอ้อยและใช้เวลานาน จึงลงมือตัดอ้อยเองกับภรรยา ขณะนี้ตัดไปได้หลายไร่แล้ว

...

ด้านกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ คุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับดีถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ ค่าฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 33-101 มคก./ลบ.ม.โดยพื้นที่วิกฤติสีแดงคือ จ.เชียงใหม่ ต.ช่างเคิ่ง อ.แม่แจ่ม อยู่ที่ 101 มคก./ลบ.ม. ส่วนพื้นที่ฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานในระดับสีส้ม ได้แก่ ต.ช้างเผือก อ.เมือง 57 มคก./ลบ.ม. ต.ศรีภูมิ อ.เมือง 51 มคก./ลบ.ม. จ.ลำปาง ต.พระบาท อ.เมือง 74 มคก./ลบ.ม. ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ 59 มคก./ลบ.ม. ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ 57 มคก./ลบ.ม. จ.ลำพูน ต.บ้านกลาง อ.เมือง 75 มคก./ลบ.ม. จ.น่าน ต.ในเวียง อ.เมือง 54 มคก./ลบ.ม. จ.ตาก ต.แม่ปะ อ.แม่สอด 56 มคก./ลบ.ม. ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น ต.ในเมือง อ.เมือง 66 มคก./ลบ.ม. ส่วนสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่ กทม.และ ปริมณฑล คุณภาพอากาศอยู่ในระดับดีถึงดีมาก

วันเดียวกัน นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2561 ถึงวันที่ 20 ก.พ.2562 ใน 4 ภูมิภาค มีเหตุไฟป่าเกิดขึ้น 293 ครั้ง พื้นที่ได้รับความเสียหาย 11,846.3 ไร่ พื้นที่เกิดเหตุส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ใน 9 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง น่าน พะเยา แพร่ และจังหวัดตาก มีเหตุไฟป่าเกิดขึ้น 98 ครั้ง มีพื้นที่ได้รับความเสียหาย 3,416.8 ไร่ ดังนั้น กรมป่าไม้จึงได้ออกประกาศมาตรการป้องกันไฟป่า เมื่อมีความจำเป็นต้องเผาวัชพืชในที่ดินทำกิน ขอความร่วมมือให้ประชาชนจัดทำแนวกันไฟและควบคุมไฟ มิให้ลุกลามไปยังพื้นที่อื่นๆ และขอให้ประสานงานกับหน่วยส่งเสริมการควบคุมไฟป่าในท้องที่ เพื่อจัดกำลังเจ้าหน้าที่คอยควบคุม พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากประชาชน หากพบเห็นไฟไหม้ป่าบริเวณใดขอให้ช่วยกันดับไฟโดยเร็ว เพื่อมิให้ไฟลุกลามขยายเป็นวงกว้าง แต่หากเกิดไฟป่ารุนแรง ขอให้รีบแจ้งและประสานงานไปยังศูนย์ส่งเสริมการควบ คุม ไฟป่าท้องที่ หน่วยส่งเสริมการควบคุมไฟป่าท้องที่ หน่วยป้องกันรักษาป่าท้องที่ที่อยู่ใกล้เคียงพื้นที่ไฟไหม้ป่า หรือสายด่วนกรมป่าไม้ 1310 กด 3 และสายด่วนพิทักษ์ป่า 1362

อธิบดีกรมป่าไม้กล่าวอีกว่า นอกจากขอความร่วมมือจากประชาชนข้างต้น ยังมีเรื่องข้อกฎหมายบทลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิดในการเผาป่าหรือการกระทำใดๆที่ทำให้เกิดไฟป่า ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายทางอาญา มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 20 ปี และมีโทษปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 2,000,000 บาท หรือมีโทษทั้งจำทั้งปรับ และต้องชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งด้วย ที่สำคัญวันที่ 24 ก.พ.นี้ เป็น “วันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า” ขอให้เป็นวันงดเผา ทั้งการเผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย การกำจัดเศษวัชพืชเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก หรือแม้แต่กระทั่งการจุดไฟเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดหมอกควันและฝุ่นละอองเป็นปัญหาส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ

...