จิตแพทย์ เชื่อไม่กระทบจิตใจมาก ห่วงหลังออกจากถ้ำถูกสังคมจับจ้อง วอนสื่อใจเย็นอย่ารีบซักถาม ด้าน แพทย์ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ยันพร้อมทุกด้านช่วย 13 ชีวิตทีมหมูป่าตามหลักวิชาการ...

ขณะที่เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 3 ก.ค. 61 นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 1 เปิดเผยว่า โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เตรียมหอผู้ป่วยที่แยกเฉพาะในตึกอุบัติเหตุฉุกเฉินใหม่ ชั้น 8 เตรียมรับ 13 ชีวิตไว้ จากการที่น้องๆ ติดถ้ำมาหลายวันจะมีการติดเชื้ออะไรบ้าง ต้องแยกตามหลักวิชาการ จะต้องมีการเจาะเลือดและการดูแลรักษาพยาบาลตามขั้นตอน โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกสาขาที่เกี่ยวข้อง และมีหัวหน้าทีมที่รับผิดชอบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในส่วนภาพรวมเรามีความพร้อมดูแลเป็นอย่างดี เมื่อรับตัวมาถึงภายใน 24 ชั่วโมงแรกจะต้องแยกไว้ก่อน จากนั้นก็จะให้คุณพ่อคุณแม่เข้าไปเยี่ยมได้

ผู้ตรวจฯ​ สธ.เขตสุขภาพที่ 1 กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นในเรื่องอาหาร กรณีที่น้องอดอาหารมานานแต่ถ้าเกิน 10 วัน ตรงนี้จะมีความเสี่ยงว่า ปฏิกิริยาเกิดขึ้นหากให้อาหารมากๆ จะทำให้ร่างกายต่อต้าน ปรับตัวไม่ทัน ทาง รพ.ได้เตรียมอาหารสำหรับ 13 คนทีมหมูป่าไว้แล้ว การที่จะเอาอาหารให้เด็กจะต้องมีเกลือแร่และน้ำตาลและมีวิตามินบี 1 โดยหลักอาหารที่เตรียมให้ก็จะมีวิตามินบี 1 คนที่อดอาหารนานๆ มักจะขาดอาหารพวกนี้ ได้ทานน้ำเกลือบวกกับน้ำตาลนิดหน่อยจะมีพลังงานมากขึ้น เบื้องต้นประมาณ 200 ซีซี มื้อแรก และอีก 2 ชั่วโมง จะให้อาหารทางการแพทย์บางคนเรียกว่านม แต่ไม่ใช่นมที่ซื้อตามท้องตลาด จะเป็นอาหารที่มีนมเป็นองค์ประกอบ เป็นตัวเริ่มและมีสารอาหารครบ ต้องสลับกันระหว่างน้ำเกลือกับอาหารทางการแพทย์ทุก 2 ชั่วโมง 24 ชั่วโมงแรกทยอยให้ ไม่ให้ครั้งละเยอะๆ ไม่ใช่ให้ตามข้อเรียกร้องของน้องที่มักจะบอกว่าหิวให้ตามใจไม่ได้เลย เพราะจะทำให้การหลั่งอินซูลินในร่างกายผิดปกติอาจจะมากเกินไปจะส่งผลต่อร่างกาย

...

ผู้สื่อข่าวถามถึงระบบสายตาจะมีปัญหาบ้างมั้ย นายแพทย์ธงชัย กล่าวว่า เรื่องสายตาเป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่ไม่น่ามีปัญหามากนัก จากภาพที่เห็นเด็กในถ้ำมีถ่ายรูปมีแสงด้วย ตามหลักการเป็นอย่างนี้เวลาที่เราอยู่ที่มืด ร่างกายจะปรับตัว รูม่านตาจะขยายเพื่อจะให้เราเห็นภาพ น้องอยู่ในสภาพนี้รูม่านตาจะขยายตลอด เมื่อนำออกมาร่างกายจะป้องกันตัวเองด้วยการหลับตาม่านรับแสงจะบอกเอง ซึ่งเรื่องนี้ทีมแพทย์วางแผนกับทหารแล้วว่าหากออกมาเตรียมแว่นตาดำไว้เลย เมื่อมาถึงที่ รพ.เราก็มีการเตรียมการมีการทดสอบการปิดม่านและไฟว่าเพียงพอหรือไม่ เพื่อให้จักษุแพทย์มาตรวจดู แต่เราก็จะประเมินพอมาถึงที่เราก็คงจะปรับสายตาได้แล้ว แต่คงยังไม่สามารถออกไปอยู่กลางแจ้งได้

ด้าน นพ.ธรนินทร์ กองสุข ผอ.รพ.สวนปรุง จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงการร่วมทีมดูแลสุขภาพจิตใจของนักเตะ-โค้ช ทั้ง 13 ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ว่า เบื้องต้นต้องให้ทีมแพทย์ที่ดูแลทางร่างกายดูแลจนพ้นวิกฤติทางกายไปก่อน ทีมสุขภาพจิตชุดใหญ่จึงเข้าไปดูแลต่อ แต่ระหว่างดูแลทางด้านร่างกายจะมีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นจาก รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ให้การดูแลไปพร้อมกันด้วย โดยประเมินเรื่องสภาวะจิตใจ ความเครียดความกังวลต่างๆ ว่ามีมากน้อยแค่ไหน และวางแผนให้การดูแลเยียวยาจิตใจตามปัญหาที่พบ ระยะถัดมาอาจจะประมาณ 1 เดือน หรือ 3 เดือน จะมีการประเมินซ้ำอย่างละเอียด และทำให้เด็กรู้ว่าจะต้องปรับตัวอย่างไรในอนาคตอันใกล้ที่จะเจอ

ในแต่ละวิกฤติจะมีความแตกต่างกัน กรณีการติดอยู่ในถ้ำนั้นยังไม่เคยเจอ คิดว่าอาจจะเหมือนกับการติดในตึกถล่ม กลุ่มวิชาการที่หารือกันก็ต้องมีการทบทวนองค์ความรู้ว่าควรจะเป็นอย่างไร แบบไหน เราต้องเรียนรู้ไปด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาภายในถ้ำเราไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ทั้งนี้ เฉพาะความมืด ความกลัว ความกังวล อาจจะยังไม่มากนักสำหรับเด็กที่เคยเข้าไปในถ้ำนั้นมาหลายครั้งแล้ว และดูจากสภาพของเด็กๆ แล้วจากภาพที่ปรากฏก็ไม่ได้พบความรุนแรง สภาพร่างกายดี มองในเชิงบวกอาจจะไม่มีบาดแผลทางจิตใจมาก เมื่อได้รับการดูแลเยียวยาจากทีมสุขภาพจิตในระยะหนึ่งอาจจะกลับมาเป็นปกติได้

เมื่อถามว่า ขณะนี้เด็กยังอยู่ในถ้ำยังไม่ได้ติดตามข่าวสาร แต่เมื่อออกมาจะพบอีกโลกหนึ่งที่โฟกัสไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ นพ.ธรนินทร์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ถกกันในทีมสุขภาพจิตว่าขณะนี้เขากลายเป็นคนของประเทศแล้ว ซึ่งการดำรงชีวิตอาจจะไม่ง่าย เพราะอาจจะต้องถูกจับตามองตลอดเวลา หากปรับตัวไม่ได้จะเกิดปัญหากับเขาได้ สิ่งที่เราต้องเฝ้าระวัง คือ ภาวะเครียดรุนแรงหลังประสบภาวะวิกฤติในชีวิต ซึ่งเป็นความผิดปกติหนึ่ง คือนอกจากการเผชิญภาวะวิกฤติในถ้ำแล้วออกมาข้างนอกเจอชีวิตที่เปลี่ยนไป ทั้งสื่อสนใจ คนสนใจ ครอบครัว พ่อ แม่ เองก็มีการเปลี่ยนไป บางคนอาจจะสอบถามเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น บางครอบครัวจะปกป้องมากขึ้น ทางทีมสุขภาพจิตจะต้องมาสร้างความเข้าใจเชิงบวกกับครอบครัวมากขึ้น เช่นเดียวกันจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่สื่อให้ความสนใจมากขึ้นด้วย 

“เราห่วงที่สื่อสอบถามเหตุการณ์ในถ้ำบ่อยๆ เดาว่าไม่ต่ำกว่า 20 ครั้งหรือในชีวิตของเขาอาจจะต้องถูกทวนเรื่องนี้ซ้ำๆ ถ้าเด็กมองว่าการไปติดในถ้ำคือความกล้าหาญ คือเรื่องการผจญภัยก็คงไม่เป็นอะไร แต่หากมองว่ามันคือเรื่องทุกข์ทรมานมันจะเกิดผลในแง่ลบต่อจิตใจ ประเด็นต่อมาคือการที่ชีวิตเปลี่ยนหากปรับตัวไม่ได้ จากการถูกจับจ้องตลอดจะทำให้เครียดมากทั้งในระยะสั้น ระยะยาว ดังนั้นจะต้องเตรียมให้น้องๆ พูดคุยในเชิงบวก และเป็นประโยชน์กับสุขภาพจิตให้มาก เพราะการถามซ้ำๆ ในภาษาสุขภาพจิตจะเรียกว่าเป็นการบาดเจ็บทางจิตใจซ้ำๆ หวนนึกถึงเหตุการณ์ซ้ำ เรื่องนี้เราคาดการณ์เอาไว้แล้วและจะต้องคุยกับเด็กก่อน เพราะสภาพจิตใจ ความเข้มแข็งของแต่ละคนแตกต่างกัน เรื่องนี้ไม่ควรเร่งรัด ต้องรอให้พร้อมก่อน” ผอ.รพ.สวนปรุง กล่าว.

...

เกาะติดข่าวค้นหา 13 ชีวิตติดในถ้ำหลวง