เรื่องใหญ่! ตำรวจเมืองเลยเป็นตัวแทนสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ 194 นาย บุกร้อง ผบช.ภ.4 ถูกอดีตผบก. ชักชวนเข้าร่วมโครงการบริหารหนี้ รวบรวมเงินไป 230 ล้าน สุดท้ายถูกเบี้ยว  

เวลา 10.30 น.วันที่ 25 พ.ค.61 ที่ห้องรับรองตำรวจภูธรภาค 4 ถนนหน้าเมือง ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับ และ รองผู้กำกับ สวป. สารวัตรอำนวยการ จากสถานีตำรวจต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดเลย 10 นาย เข้ายื่นต่อ ผบช.ภ.4 แต่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ไปราชการ พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 จึงรับหนังสือร้องเรียนดังกล่าวแทน

ทั้งนี้ นายตำรวจที่เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนในครั้งนี้ แจ้งว่ามาในฐานะตัวแทนข้าราชการตำรวจ ที่เป็นสมาชิกของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธรจังหวัดเลยที่เข้าร่วมโครงการบริหารหนี้ จำนวน 194 ราย ทำให้ปัจจุบันตำรวจจังหวัดเลยเป็นหนี้ รวม 229,476,804 ล้านบาท และกำลังจะถูกยึดบ้าน ยึดรถ ไม่มีเงินเลี้ยงดูครอบครัว เพราะถูกหักเงินเดือนไปใช้หนี้ 

ในหนังสือร้องเรียนดังกล่าว ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียดระบุว่า

...

“ด้วยเมื่อปีงบประมาณ 2560 ประมาณเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2560 ข้าราชการตำรวจใน สังกัด ภ.จว.เลย จำนวน 194 นาย ซึ่งเป็นสมาชิกของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธรจังหวัดเลย ได้เข้าร่วมโครงการกู้รวมหนี้ของสหกรณ์รวมวงเงิน 229,476,804 บาท โดยการกู้เงินของสหกรณ์นำไปชำระปิดบัญชีจากเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินต่างๆ จากภายนอก โดยให้ข้าราชการตำรวจซึ่งเป็นสมาชิกสหกรณ์เป็นหนี้กับสหกรณ์เพียงแห่งเดียว เพื่อป้องกันมิให้สมาชิกสหกรณ์ซึ่งเป็นลูกหนี้ รวมทั้งผู้ค้ำประกันเสี่ยงต่อการถูกเจ้าหนี้ดังกล่าวฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งจะส่งผลให้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามรับราชการตำรวจตามกฎ ก.ตร. โดยสมาชิกสหกรณ์ดังกล่าว จะต้องถูกคำสั่งให้ออกจากราชการซึ่งจะทำให้สมาชิกสหกรณ์กับบุคคลในครอบครัวและบุพการีที่ต้องพึ่งพาอาศัยจากรายได้ของราชการตำรวจการดำรงชีพต้องได้รับความเดือดร้อน โดยสมาชิกแต่ละรายกู้รวมหนี้ได้ไม่เกินคนละ 4 ล้านบาท โดยมีพล.ต.ต.สุทิพย์ ผลิตกุศลธัช ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.เลย และประธานสหกรณ์ได้คิดโครงการบริหารหนี้ขึ้นมา 

โดยมีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ให้มีการบริหารจัดการหนี้สินที่มีอยู่กับสหกรณ์ตามโครงการกู้รวมหนี้ให้หมดไปโดยเร็ว ถ้าไม่หมดก็จะให้ทุเลาเบาบางลง โดยมีการเรียกประชุมสมาชิกที่ห้องประชุม ภ.จว.เลยโดยมี พล.ต.ต.สุทิพย์ เป็นประธาน และพ.ต.อ. เฉลิมพล ยอดประทุม นายตำรวจติดตาม และพ.ต.อ.อุดร ชูก้านผู้จัดการสหกรณ์เป็นเลขาฯ 

มีสาระสำคัญว่าสมาชิกรายใด ไม่เข้าร่วมโครงการบริหารหนี้ไม่มอบเงินให้ พล.ต.ต.สุทิพย์ นำไปบริหารหนี้ให้ สหกรณ์ก็จะเอาไว้พิจารณาภายหลัง เพราะจะพิจารณาสมาชิกที่ยอมเข้าร่วมโครงการก่อน หรืออาจจะไม่ให้กู้เลย ซึ่งมีไม่กี่คนที่สหกรณ์ให้กู้โดยไม่เข้าโครงการ โดยให้เหตุผลว่าเงินเดือนเหลือน้อยหนี้สินก็มาก หากไม่เข้าโครงการและมอบเงินให้ พล.ต.ต.สุทิพย์ ไปบริหารหนี้ให้ จะเกิดความเสี่ยงแก่สหกรณ์ เพราะจะเป็นเหตุที่สหกรณ์จะไม่อนุมัติให้กู้ 

ได้มีการประชุมชี้แจงสมาชิก โดยเสนอผลประโยชน์สำหรับผู้ที่เข้าร่วมโครงการบริหารหนี้ คือ 1. พล.ต.ต.สุทิพย์ จะรับผิดชอบนำเงินไปผ่อนชำระสถาบันเงินเจ้าหนี้ให้เป็นประจำทุกเดือน จนปิดบัญชียอดหนี้ทั้งหมด เมื่อถึงระยะเวลาสิ้นสุดตามโครงการ 3 ปี นับแต่วันเข้าร่วมโครงการ และ 2. พล.ต.ต.สุทิพย์ จะจ่ายเงินค่าตอบแทนแก่สมาชิกผู้เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาทต่อยอดเงินที่สมาชิกเข้าร่วมโครงการ คือ 1 ล้านบาท หรือตามอัตราส่วนร้อยละ 5 เป็นประจำทุกเดือน จนสิ้นสุดโครงการ โดยจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์เป็นการตัดยอดหนี้เงินต้นคงเหลือ หลังจากที่สหกรณ์ได้หักเอาเงินต่างๆ ของสมาชิกเป็นรายเดือนตามปกติแล้ว เพื่อจะได้ทำให้ยอดหนี้ของสมาชิกที่มีอยู่กับสหกรณ์มีจำนวนลดลงเป็นประจำทุกเดือน

ข้อ 3. เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามโครงการ 3 ปีนับแต่วันเข้าร่วมโครงการ พล.ต.ต.สุทิพย์ จะคืนเงินให้แก่สมาชิกร้อยละ 50 ของยอดเงินที่เข้าร่วมโครงการ เช่น เข้าร่วมโครงการ 1 ล้านจะได้คืน 500,000 ตามอัตราส่วนของสมาชิกแต่ละคนโดยจะนำไปตัดหนี้สินเงินคงเหลือที่สมาชิกมีอยู่กับสหกรณ์เพื่อจะได้ทำให้ยอดหนี้ของสมาชิกที่มีอยู่กับสหกรณ์มีจำนวนน้อยลงหรือหมดสิ้นไป และข้อที่ 4. หาสมาชิกผู้ใดไม่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการอีกต่อไป พล.ต.ต.สุทิพย์จะนำเงินไปปิดบัญชีที่สมาชิกเป็นลูกหนี้แก่สถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ดังกล่าวให้โดยทันที 

หากข้อผิดพลาดเกิดจาก พล.ต.ต.สุทิพย์ ไม่ใช่ความผิดของสมาชิก พล.ต.ต.สุทิพย์ ก็ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว ที่กล่าวข้างต้น โดยการนำเงินไปปิดบัญชีหนี้สินให้แก่สมาชิกตามจำนวนเงินที่เข้าร่วมโครงการ และต้องคืนเงินให้แก่สมาชิกร้อยละ 50 ของยอดเงินที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งเมื่อ พล.ต.ต.สุทิพย์ พร้อมทีมงานได้นำเสนอผลงานที่จะได้รับมาข้างต้นสมาชิกฯเชื่อในความหวังดีของผู้บังคับบัญชา จึงได้ตกลงเข้าร่วมโครงการบริหารหนี้ โดยมี พ.ต.อ.เฉลิมพล กับ พ.ต.อ.อุดรเป็นผู้เรียกสมาชิกมาประชุมอีกครั้งว่าสมาชิกรายใดจะนำหนี้จากสถาบันการเงินหรือของเจ้าหนี้รายใดเข้าร่วมโครงการบ้าง เมื่อสมาชิกยื่นเรื่องกู้เงินจากสหกรณ์ตามโครงการดังกล่าวแล้ว สหกรณ์ก็จะโอนเงินที่สมาชิกกู้ เข้าในบัญชีให้แล้วก็เบิกถอนไปปิดบัญชีหนี้สินของแต่ละคน แต่ในส่วนที่เข้าร่วมโครงการบริหารหนี้ของ พล.ต.ต.สุทิพย์ สมาชิกต้องเซ็นชื่อรับเช็คจากสหกรณ์ และเซ็นสลักหลังมอบเช็คให้ พล.ต.ต.สุทิพย์ รับเงินไปตามยอดเงินที่เข้าร่วมโครงการ 

...

กระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา สมาชิกฯได้รับการทวงหนี้จากธนาคารอาคารสงเคราะห์ ว่ามีการค้างชำระหนี้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 เป็นต้นมา และธนาคารออมสินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นมา ธนาคารกรุงไทยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังมีจากบริษัทไฟแนนซ์รถยนต์ที่สมาชิกกำลังผ่อนชำระอยู่ได้ติดตามทวงถามให้ชําระหนี้และจะยึดรถเป็นจำนวนมาก เมื่อสอบถามไปยัง พ.ต.อ.เฉลิมพลกับ พ.ต.อ.อุดร ก็ได้รับคำตอบว่าเงินของผู้เข้าร่วมโครงการฯอยู่กับพล.ต.ต.สุทิพย์ โดยพล.ต.ต.สุทิพย์ แจ้งว่าระบบการเบิกจ่ายเงินถูกล็อกกำลังแก้ไขระบบอยู่ สมาชิกจึงแจ้งขอยกเลิกการเข้าร่วมโครงการบริหารหนี้กับ พล.ต.ต.สุทิพย์ โดยขอให้นำเงินที่สมาชิกเข้าร่วมโครงการไปชำระปิดบัญชีให้แก่สมาชิกทันที แต่เมื่อไปตรวจสอบกับสหกรณ์แล้ว สหกรณ์แจ้งว่าไม่เคยได้รับตั้งแต่สมาชิกเข้าร่วมโครงการ"

ขณะเดียวกัน ข้าราชการตำรวจที่ เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนในครั้งนี้ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ไม่ได้ใช้เวลาราชการมากลั่นแกล้งผู้บังคับบัญชา แต่เพราะเดือดร้อนจริงๆ ซึ่งการร้องเรียนเป็นการเรียนให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น ตั้งแต่เรียนให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลยคนปัจจุบันทราบเรื่องแล้ว จึงมาเรียนให้ผู้บังคับบัญชาระดับภาคทราบอีก จากนี้จะเข้าไปเรียนให้ ผบ.ตร.ทราบตามขั้นตอนต่อไปอีกเช่นกัน

"เนื่องจากขณะนี้ สมาชิกซึ่งเป็นลูกหนี้และผู้ค้ำประกันได้ถูกสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ทวงหนี้อย่างหนัก ที่เป็นหนี้ ธอส. ก็จะถูกยึดบ้าน รถยนต์ที่ผ่อนชำระอยู่ก็จะยึดรถ ส่วนผู้ที่เป็นหนี้ธนาคารกรุงไทย ก็ถูกธนาคารหักเอาเงินที่มีอยู่ในบัญชีไปจนหมด เพราะทั้งเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงและค่าตอบแทนต่างๆ ที่หน่วยงานโอนเข้าบัญชีให้จะโอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย ถึงแม้ยังมีเงินเหลืออยู่ในบัญชีก็ไม่สามารถเบิกถอนออกมาได้ 

...

เมื่อธนาคารอายัดเงินในบัญชีไว้ ทำให้สมาชิกและครอบครัวรวมทั้งผู้ที่จะต้องพึ่งพาสมาชิกในการดำรงชีพต่างได้รับความเดือดร้อนอย่างมากเพราะไม่มีเงินที่จะมาจุนเจือครอบครัวและค่าใช้จ่ายของบุตรหลานที่กำลังจะเปิดเทอม ตำรวจหลายคนต้องไปขอกู้ยืมเงินนอกระบบ เพื่อไปชำระหนี้ที่ค้างไว้ เพราะธนาคารจะยื่นฟ้องบังคับหนี้แล้ว"

นายตำรวจระดับ สวป.สภ.แห่งหนึ่งในจังหวัดเลย กล่าวว่า ยอดหนี้หลักล้านขึ้นไป สมาชิกและผู้ค้ำประกันจะถูกฟ้องล้มละลายและถูกออกจากราชการ ซึ่งในเรื่องดังกล่าว มีการแจ้งให้ พล.ต.ต.สุทิพย์ ทราบแล้ว ให้คำมั่นว่า จะนำเงินมาปิดบัญชีให้ตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคม 2561 ที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งขณะนี้ข้าราชการตำรวจที่เป็นสมาชิกสหกรณ์รวมทั้งผู้ค้ำประกันหนี้จำนวนดังกล่าว กำลังจะถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลายและถูกออกจากราชการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม การที่เข้าร่วมโครงการเพราะทุกคนเชื่อในความคิดของผู้บังคับบัญชา และไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เพราะทุกคนคิดว่า การกู้ร่วมหนี้กับสหกรณ์แล้วนำเงินไปชำระหนี้ปิดบัญชีกับสถาบันการเงินแล้วเรื่องคงจะจบ โดยหมดภาระหนี้สินกับสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ภายนอก แต่เป็นหนี้กับสหกรณ์เพียงที่เดียว 

...

ส่วนการเข้าโครงการบริหารหนี้กับ พล.ต.ต.สุทิพย์ เป็นลักษณะการบังคับทางอ้อม เพราะถ้าไม่ยอมเข้าโครงการ พล.ต.ต.สุทิพย์ ในฐานะประธานสหกรณ์ก็จะไม่ได้รับอนุญาตเงินกู้ตามโครงการกู้รวมหนี้ สมาชิกฯที่เข้าร่วมโครงการในขณะนั้นไม่มีทางเลือก เพราะกำลังถูกสถาบันการเงินเจ้าหนี้ฟ้องร้อง จึงมีความจำเป็นที่ต้องกู้รวมหนี้ และหากไม่เข้าร่วมโครงการบริหารหนี้ ก็จะไม่ได้รับการอนุมัติให้กู้เงินตามโครงการกู้รวมหนี้ ดังนั้นข้าราชการตำรวจ ที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธรจังหวัดเลย ที่เข้าร่วมโครงการบริหารหนี้ จำนวน 194 ราย ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก จึงอยากให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาหาทางช่วยเหลือ หรือให้ พล.ต.ต.สุทิพย์ เจ้าของโครงการบริหารหนี้ นำเงินไปปิดบัญชาหนี้ตามข้อตกลงที่ระบุไว้ด้วย

ทางด้าน พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 กล่าวหลังรับหนังสือร้องเรียน ว่า ทุกอย่างต้องดำเนินการตามขั้นตอน เมื่อมีผู้เดือดร้อนเข้าร้องเรียนก็ต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งในระบบราชการนั้น การตรวจสอบต้องตั้งกรรมการขึ้นมา 1 ชุด ใช้เวลาการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน

ส่วนกรณีที่ผู้ถูกร้องเรียนเป็นข้าราชการตำรวจระดับสูง มีปัญหาอุปสรรคต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น รอง ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ไม่หนักใจ เพราะความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจจำนวนมาก คงว่ากันตามหลักฐาน และไม่กล่าวหาใครง่ายๆ อีกทั้งข้าราชการหากทำผิดก็ถูกดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนของกฎหมาย ผิดอาญาก็ดำเนินคดีทางอาญา ผิดวินัยก็ว่ากันไปทางวินัย และไม่รู้สึกหนักใจ

รอง ผบช.ภ.4 กล่าวอีกว่า กรณีโครงการบริหารหนี้ ที่ถูกข้าราชการตำรวจร้องเรียนในครั้งนี้ ต้องตรวจสอบด้วยว่าเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่ หรือถ้าเกี่ยวพัน เชื่อมโยงกับบุคคลในหลายภาคส่วน ก็จะประสาน ปปง. ป.ป.ช.เข้ามาตรวจสอบร่วมกัน และภายหลังรับหนังสือร้องเรียนแล้วจะทำรายงานถึง ผบ.ตร.เพื่อพิจารณา ต่อไป ว่า กรณีความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจสังกัด ภ.จว.เลย จำนวน 194 รายนั้น ผบ.ตร.จะสั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 4 ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือจะส่งชุดเฉพาะกิจลงพื้นที่มาตรวจสอบเอง