รัฐปี 2569 เจอศึกหนัก รายได้ภาษีเสี่ยงหลุดเป้า นักเศรษฐศาสตร์–สาธารณสุข–ภาคการเงิน เตือนโครงสร้างภาษีซับซ้อนทำรายได้รั่วไหล แนะเร่งปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพื่อสร้างรายได้
ปีงบประมาณ 2569 ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในปีที่ท้าทายที่สุดของการคลังไทยในรอบทศวรรษ หลายสัญญาณชี้ชัดรายได้ภาษีอาจไม่ถึงเป้าหมายทั้งจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมถึงความซับซ้อนของโครงสร้างภาษีในบางผลิตภัณฑ์ที่กระตุ้นให้รัฐบาลทบทวนมาตรการแก้ไขเร่งด่วน
ภาษีไทยปี 2569 รายได้เสี่ยงหลุดเป้า โจทย์หนักกว่าที่คาด
แม้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวหลังโควิด-19 แต่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ทำให้ระบบเศรษฐกิจยังไม่กลับมาเดินเครื่องเต็มร้อย และกำลังซื้อก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้ภาษีนิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT โตไม่ตามกรอบ และหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่ฝั่งภาษีศุลกากร และภาษีสรรพสามิตก็ยังมีหลายส่วนที่ไม่เป็นไปตามเป้าซึ่ง KKP Research ของธนาคารเกียรตินาคินภัทรจำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ความสามารถในการจัดเก็บภาษีของไทยลดจาก 17% เหลือเพียง 15% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และเตือนชัดว่าหากรายได้ภาษีหลุดเป้าในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า ความเสี่ยงทางการคลังจะสูงขึ้นมาก และอาจส่งผลต่ออันดับเครดิตของประเทศได้
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTB ระบุว่า “เมื่อรายได้ภาษีไม่ถึงเป้า แต่รายจ่ายรัฐเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ความเสี่ยงเชิงการคลังจะสูงขึ้น และอาจส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย”
โจทย์ใหม่ของการคลังไทย “แก่ก่อนรวย” ทำฐานภาษีหดตัว
สิ่งที่ทวีความเสี่ยงให้การเก็บภาษีในปี 2569 หนักยิ่งขึ้นคือโครงสร้างประชากรไทยที่เดินหน้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์” (Super-Aged Society) อย่างต่อเนื่อง ทำให้คนวัยทำงานลดลง ฐานภาษีเงินได้จึงลดลงตาม ในขณะเดียวกันการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์นั้น ทำให้โครงสร้างการใช้จ่ายเปลี่ยนไป กล่าวคือผู้สูงอายุใช้จ่ายน้อยลงในสินค้าที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ใช้จ่ายมากขึ้นในหมวดสุขภาพที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มโตช้ากว่าที่คาด แต่ภาระรายจ่ายรัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทัั้งจากงบบำนาญ งบสาธารณสุขและงบสวัสดิการผู้สูงอายุ เมื่อฐานภาษีหดตัว แต่รายจ่ายเพิ่มต่อเนื่อง ทำให้ปี 2569 เป็นต้นไปรัฐบาลจะมีพื้นที่นโยบายทางการคลัง (Fiscal Space) น้อยลงกว่าที่เคยเป็นมา
...
ผู้บริโภคเลือกสินค้าราคาประหยัด ทำรายได้สรรพสามิตต่ำกว่ากรอบ
พฤติกรรม “คุมค่าใช้จ่าย” ในสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ส่งผลโดยตรงกับสินค้าสรรพสามิต ที่ผู้บริโภคจำนวนมากเปลี่ยนไปซื้อสินค้าราคาถูกลง (Down Trading) เช่น บุหรี่ราคาประหยัด สุราราคาถูก สินค้าพลังงานต้นทุนต่ำ ที่มีภาษีต่อหน่วยต่ำ แม้ยอดขายอาจใกล้เคียงเดิม แต่รัฐจัดเก็บภาษีได้ลดลง นอกจากนี้ สินค้าผิดกฎหมาย เช่น บุหรี่เถื่อน แอลกอฮอล์เถื่อน ที่ลักลอบหนีภาษี ยังขยายตัวและบั่นทอนรายได้รัฐโดยตรง
โฟกัส “ภาษียาสูบ” – ช่องโหว่ใหญ่สุดของรายได้รัฐในปี 2569
จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในปีงบประมาณ 2568 พบว่า ภาษีรถยต์ สุรา และยาสูบ เป็นกลุ่มสินค้าที่สร้างรายได้หลักให้กับสรรพสามิต แต่มีการจัดเก็บได้ลดน้อยลงจากปีงบประมาณก่อนหน้า โดยภาษีรถยนต์ และภาษีสุรา มีการจัดเก็บน้อยลงเนื่องจากมาตรการลดภาษีเพื่อช่วยผู้ประกอบการ และจูงใจให้ผู้บริโภคหันไปใช้สินค้าที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า เช่น รถยนต์ไฟฟ้า แต่สำหรับสินค้ายาสูบนั้นไม่ได้มีมาตรการใดออกมา แต่กลับจัดเก็บรายได้ได้ลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากโครงสร้างภาษีแบบ “สองอัตรา” เปิดช่องให้เกิดพฤติกรรมหลีกเลี่ยงภาษีโดยไม่ผิดกฎหมาย ทั้งในฝั่งผู้ผลิตและผู้บริโภค เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้บริโภค Down Trading ไปยังบุหรี่ราคาถูก และผู้ผลิตตั้งราคาถูกลงเพื่ออยู่ในชั้นภาษีต่ำ รายได้รัฐที่เก็บได้ต่อซองต่ำลง บุหรี่ผิดกฎหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาด ซ้ำเติมการจัดเก็บรายได้ของรัฐ
ศาสตราจารย์ ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าตั้งแต่มีการบังคับใช้โครงสร้างภาษีบุหรี่แบบ 2 อัตรา ยังไม่เห็นข้อดีของโครงสร้างแบบนี้ จึงเสนอแนะให้ใช้โครงสร้างภาษีแบบอัตราเดียว เช่นเดียวกับในต่างประเทศซึ่งจะทำให้ระบบภาษีโปร่งใสและลดการบิดเบือนราคาได้มากกว่าเดิม
มุมสาธารณสุข ภาษีหลายอัตราเปิดช่องให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ได้ง่ายขึ้น
นอกจากรายได้รัฐที่รั่วไหล โครงสร้างภาษีแบบหลายอัตรายังถูกวิพากษ์จากมุมสาธารณสุขอย่างหนัก เพราะทำให้ราคาบุหรี่บางกลุ่มต่ำเกินจริง โดยเฉพาะสินค้าราคาประหยัดที่เยาวชนเข้าถึงได้ง่ายที่สุด ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเยาวชนมี price sensitivity สูง ผู้ที่ “เริ่มสูบครั้งแรก” มักเลือกสินค้าที่ราคาต่ำที่สุดในตลาด เมื่อระบบภาษีเปิดช่องให้ยังมีบุหรี่ราคาถูกอยู่จำนวนมาก จึงทำให้มาตรการป้องกันการเริ่มสูบ “ไม่ทำงานเต็มที่”
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ กล่าวไว้ชัดว่า “ภาษีบุหรี่เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดตามคำแนะนำของธนาคารโลกและองค์การอนามัยโลก จึงมีความปรารถนาตลอดเวลาให้ประเทศไทยมีระบบภาษีบุหรี่ที่ดี คือ ‘อัตราเดียว’ เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการบริโภคและเพิ่มรายได้รัฐไปพร้อมกัน”
ปี 2569 ปีแห่งการปฏิรูปภาษีไทย – เริ่มจากหมวดที่รั่วไหลที่สุด
เมื่อพิจารณาทั้งภาพเศรษฐกิจ ภาพการคลัง และภาพประชากร จะเห็นว่าปี 2569 จะเป็นปีที่ไทยต้องเร่ง “ปฏิรูปโครงสร้างภาษี” เพื่อสร้างรายได้ มากกว่าจะรอพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หาสิ่งที่เป็น Quick Big Win และเลือกขึ้นมาก่อน เป็นก้าวแรกของรากฐานทางการคลังที่เข้มแข็ง