“กัมพูชา” ขอประชุม “จีบีซี” ที่มาเลเซีย ขณะที่ “ไทย” ยืนยันต้องประชุมที่ชายแดน จ.จันทบุรี เท่านั้น พร้อมเผยเหตุผล ย้ำแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยกลไกทวิภาคี

เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ฝ่ายกัมพูชา ได้ทำหนังสือแจ้งความประสงค์ ให้จัดประชุมจีบีซีวาระพิเศษ เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในวันที่ 24 ธ.ค.นี้ ไปที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ขณะนี้ฝ่ายไทยทำหนังสือปฏิเสธตอบกลับไป โดยยืนยันให้มาประชุมที่ อ.บ้านแหลม จ.จันทบุรี เพื่อยืนยันการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ไม่ประชุมในประเทศ 3

ต่อมาช่วงบ่าย มีรายงานข่าวเพิ่มเติมจากกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงการกำหนดท่าทีของไทย ในการประชุม GBC ในวันที่ 24 ธ.ค. โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม พร้อมคณะ จะไปประชุมที่ชายแดนจังหวัดจันทบุรี โดยมีการกำหนดท่าทีหลายเรื่อง อาทิ ไทยยืนยันว่าพฤติกรรมของกองกำลังกัมพูชามีลักษณะละเมิดกติกาสากลหลายประเด็น และการประชุม GBC จะต้องลงรายละเอียดเชิงเทคนิคให้ชัดเจน หากฝ่ายเลขานุการตกลงกันไม่ได้ ไทยอาจไม่เข้าร่วม/ไม่ลงนาม และยังมีเรื่อง 5 ข้อ ที่ไทยระบุว่ากัมพูชากระทำผิด มีอะไรบ้าง 1.ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (ครอบครอง-ผลิต-ใช้ทุ่นใหม่) 2.ใช้โบราณสถานเป็นที่มั่นทหาร 3.ใช้ชุมชนเป็นที่ตั้งยิงอาวุธหนัก ย้ายกลับชุมชนหลังยิง 4.ใช้อาคารพลเรือนเป็นที่ตั้ง คลังอาวุธ รวมถึงอาคารที่เชื่อมโยงสแกมเมอร์ คาสิโน ถูกใช้ทางทหาร 5. ใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์และเป็นเครื่องมือกล่าวหาเมื่อเกิดความสูญเสีย

นอกจากนี้ ยังจะมีการสื่อสารเรื่องไทยกล่าวหากัมพูชาเรื่อง “ทุ่นระเบิด” อย่างไรให้ชัด ทำไมประเด็น “ใช้โบราณสถาน” ถึงเป็นเรื่องใหญ่ ไทยบอกว่า กัมพูชา “ซุกในพื้นที่พลเรือน” หมายถึงอะไร ไทยระบุรูปแบบ “ยิงอาวุธหนักแล้วถอยเข้าชุมชน” หรือใช้อาคารพลเรือนเป็นที่ตั้ง/คลังอาวุธ ซึ่งเป็นการทำให้พื้นที่พลเรือนตกอยู่ในอันตราย และสร้างข้อจำกัดต่อการตอบโต้ของไทยที่ยึดหลักคุ้มครองพลเรือน กรณี “สแกมเมอร์/คาสิโน” ไทยชี้แจงอย่างไรนั้น ไทยย้ำว่าเป้าหมายคือ “ที่ตั้งทางทหาร” ไม่ใช่การปราบสแกมเมอร์เป็นหลัก แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นฐานทางทหาร ก็ทำให้ถูกโจมตีในฐานะ “เป้าหมายทางทหาร” ตามหลักความจำเป็นทางทหาร ย้ำหลักว่า “พลเรือนไม่ใช่อาวุธ” และการนำพลเรือนไปอยู่ใกล้ ร่วมกับที่ตั้งทหารเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อพลเรือน พร้อมยืนยันว่าไทยยึดหลักแยกแยะเป้าหมายและคุ้มครองพลเรือน ตรวจสอบได้ตามหลักฐาน

...

ส่วนไทยจะหยุดยิงหรือไม่ก่อน GBC ไทยสื่อว่า “ตราบใดที่ยังถูกยิงเข้ามา” ไทยจำเป็นต้องตอบโต้ “ตามความจำเป็นและได้สัดส่วน” ขณะเดียวกันยังเปิดช่องเจรจาผ่าน GBC เพื่อทำให้การหยุดยิงมีรายละเอียดและบังคับใช้ได้จริง เงื่อนไขที่ไทยบอกว่า “หากคุยกันไม่ลงตัว ก็ไม่ต้องไปประชุม/ไม่ลงนาม” คือหากฝ่ายเลขานุการไม่สามารถตกลงกรอบสำคัญเชิงเทคนิคได้ เช่น แนวการวางกำลัง กลไกตรวจสอบ ขั้นตอนบังคับใช้ และรายละเอียดที่ทำให้หยุดยิงมีความหมาย ไทยจะไม่ลงนามในข้อตกลงที่คลุมเครือ

ทำไมเลือก “จันทบุรี” เป็นสถานที่ประชุม ไทยอธิบายว่าเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย นิ่งกว่าเมื่อเทียบกับแนวปะทะบางจุด และต้องการสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยให้คณะผู้แทนกัมพูชา โครงเรื่อง 3 ขั้น ที่ รมว.กลาโหมพูดถึง คือ 1.พยายามเจรจาก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการรบ 2.เมื่อเกิดการปะทะ พยายามทำหยุดยิง 3.เมื่อเห็นพฤติการณ์ซ้ำและขาดความจริงใจ จึงต้องขยับไปสู่การเจรจาที่เข้มและมีรายละเอียดมากขึ้น พร้อมมาตรการตอบโต้ตามสถานการณ์