เสนาธิการ กปช.จต. พาสื่อมวลชนลงตรวจสอบบริเวณฐานชำราก ชายแดนตราด ชี้แจงประเด็นการถูกรุกล้ำพื้นที่ทับซ้อน 17 จุด ยันฝ่ายความมั่นคงจะอนุมัติให้เปิดด่าน จนกว่าปัญหาการล้ำแดนจะได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและเด็ดขาด

เวลา 14.30 น. วันที่ 19 กันยายน 2568 น.อ.อุดม กุลศิริปัญโญ เสนาธิการ กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ( เสธ.กปช.จต.) พร้อมนาวาเอกภริศวร์ วงษ์เพ็ญศรี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ผบ.ฉก.นย.ตราด) นำสื่อมวลชนลงพื้นที่พิสูจน์ข้อเท็จจริง กรณีพื้นที่ทับซ้อน 17 จุด ชายแดนไทย-กัมพูชา ในจังหวัดตราด ที่บริเวณฐานโอพี (OP) หรือ ฐานตรวจการณ์ ซึ่งอยู่ในความดูแลของฐานกองร้อยทหารพรานนาวิกโยธินที่ 535 บ้านชำราก ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ซึ่งเดินทางไปถึงบริเวณกั้นลวดหนามหีบเพลง เพื่อให้สื่อมวลชนได้รับทราบสถานการณ์จริง และพบว่าทางฝ่ายทหารนาวิกโยธินตราด สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และไม่มีการสู้รบ ทั้งที่ทหารกัมพูชาตั้งฐานทหารอยู่ในพื้นที่ห่างจากฐานโอพี ประมาณ 1 กม.

น.อ.ภริศวร์ กล่าวว่า สถานการณ์ในพื้นที่ไม่มีการปะทะและการสู้รบใดๆ ทั้งสองฝ่ายได้ตั้งฐานเพื่อสังเกตการณ์ โดยทางฝ่ายเราได้ตั้งรั้วลวดหนามหีบเพลงไว้ 2 ชั้นเพื่อป้องกันการรุกล้ำเข้ามาในฐานสังเกตการณ์ ซึ่งไม่ใช่เป็นเส้นกั้นแดน แต่เพื่อป้องกันความปลอดภัยของทหาร การเดินทางมาของสื่อมวลชน ทางทหารต้องการให้รับทราบข้อเท็จจริง และการปฏิบัติงานของทหารในพื้นที่ที่ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติไว้ แม้พื้นที่ที่รักษาไว้จะมีความลำบาก ทั้งสภาพพื้นที่และสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นจึงขอฝากพี่ๆ สื่อมวลชนได้สะท้อนความจริง และสภาพปัญหาให้ประชาชนชาวไทยทราบเพื่อไม่ให้มองว่า ทหารไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ และการละเมิดพื้นที่ของกัมพูชา ทางทหารก็ได้ประท้วงและรายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบแล้ว ซึ่งได้มีการทำการประท้วงฝ่ายกัมพูชาไปอย่างต่อเนื่อง

...

น.อ.อุดม กล่าวว่า สถานการณ์พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาในจังหวัดตราด ซึ่งมีประเด็นการรุกล้ำรวม 17 จุด สถานการณ์โดยรวมยังอยู่ภายใต้การควบคุม ไม่ได้อยู่ในภาวะที่จะนำไปสู่การสู้รบ โดยทั้งสองฝ่ายมีการเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน และมีกระบวนการแก้ไขปัญหาร่วมกันผ่านเวทีการประชุม GBC และ RPC มาโดยตลอด ในทุกจุดที่ตรวจพบการรุกล้ำ ทางการไทยได้ทำหนังสือประท้วงมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน จึงถือเป็น "พื้นที่อ้างสิทธิ์" ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนกันอยู่ ซึ่งตามข้อตกลงจะต้องไม่มีฝ่ายใดเข้าไปเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่จากเดิม และที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาก็ไม่ได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมใดๆ

"ก่อนหน้านี้ ได้เข้าไปหารือกับรอง ผบ.ทหารภูมิภาคที่ 5 มาแล้วในช่วงเช้าได้ทำความเข้าใจในเรื่องพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เพื่อแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก ซึ่งทางรอง ผบ.ทหารภูมิภาคที่ 5 เข้าใจและยอมรับ พร้อมจะร่วมแก้ปัญหากับฝ่ายไทยต่อไป และการนำสื่อมวลชนมาดูพื้นที่จริงในวันนี้ ก็เพื่อให้เห็นว่าไม่มีกองกำลังของฝ่ายกัมพูชาอยู่ในพื้นที่ มีเพียงทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ และเราประเมินว่าสถานการณ์จะสามารถแก้ไขได้ด้วยสันติวิธี"

ผู้สื่อข่าวถามถึงการสร้างถนนสาย K - 5 ว่ามีการรุกล้ำฝั่งไทย น.อ.อุดม กล่าวว่า ถนนสาย K-5 ของฝั่งกัมพูชามีการรุกล้ำฝั่งไทย 10 จุด เป็นผลจากการสร้างถนน K5 ของกัมพูชาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ซึ่งแนวถนนได้ล้ำเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทยประมาณ 2-3 จุดเป็นที่ตั้งทางทหารและคูเลตของฝ่ายกัมพูชา อีกประมาณ 3-4 จุด เป็นบ้านเรือนของประชาชน แต่ไม่มีอันตรายต่อฝั่งไทย ซึ่งการสร้างถนน K5 ของกัมพูชาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 และพื้นที่ที่รุกล้ำทางฝั่งไทยก็ได้ประท้วงไปทั้งหมดแล้ว และปัจจุบันถนนสาย K-5 ทั้ง 10 จุดที่เคยเป็นปัญหานั้น ปัจจุบันมีสภาพชำรุดทรุดโทรมและไม่ได้ถูกใช้งานแล้ว

"ในทุกจุดที่ตรวจพบการรุกล้ำ ทางการไทยได้ทำหนังสือประท้วงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน จึงถือเป็น "พื้นที่อ้างสิทธิ์" ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนกันอยู่ ซึ่งตามข้อตกลง จะต้องไม่มีฝ่ายใดเข้าไปเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่จากเดิม และที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาก็ไม่ได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมใดๆ"

ส่วนกรณีคาสิโนบ้านท่าเส้นที่สร้างล้ำแดนไทยนั้น ประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุด คือกรณีคาสิโนและอาคารบริเวณบ้านท่าเส้น ซึ่งนายทหารยอมรับว่า จากการตรวจสอบพิสูจน์แนวเขตเมื่อปี พ.ศ. 2562 พบว่า มีอาคารบางส่วนได้ก่อสร้างล้ำเข้ามาในแนวเขตที่ประเทศไทยอ้างสิทธิ์ไว้จริง ซึ่งทันทีที่ทราบเรื่อง ทางการไทยก็ได้ทำหนังสือประท้วงไปแล้ว

...

ส่วนกระบวนการที่จะได้พื้นที่คืนนั้น จำเป็นต้องรอให้ "คณะกรรมการปักปันเขตแดน" ดำเนินการจนได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเสียก่อน จึงจะทราบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทยอย่างแน่ชัด และจะสามารถดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ และด้วยเหตุนี้ ทางฝ่ายความมั่นคงจึงยังไม่อนุมัติให้เปิดจุดผ่านแดนถาวร ณ บริเวณบ้านท่าเส้น จนกว่าปัญหาการล้ำแดนจะได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและเด็ดขาด

น.อ.อุดม ยังได้ชี้แจงข้อสงสัยของประชาชนเกี่ยวกับสาธารณูปโภคในพื้นที่ โดยยืนยันว่า ท่อที่เห็นเป็นเพียงท่อประปาเพื่อรองรับการพัฒนาในฝั่งไทยเท่านั้น และไม่มีการส่งกระแสไฟฟ้า หรือสัญญาณอินเทอร์เน็ต ข้ามไปยังฝั่งกัมพูชาอย่างแน่นอน