ฉก.นย.ตราด แจงรายละเอียดพื้นที่พิพาท 17 จุด ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังกัมพูชารุกล้ำในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ยันไม่ได้ปล่อยปละละเลย เตรียมหารือฝ่ายกัมพูชาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

จากกรณีมีกระแสข่าวและการตั้งกระทู้ถามในสภาฯ ของนายศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด ถึงปัญหาที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำแนวชายแดนไทยในพื้นที่จังหวัดตราด รวม 17 จุด สร้างความกังวลใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น 

ล่าสุดเวลา 14.30 น. วันที่ 18 กันยายน 2568 กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) โดยหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ได้เชิญสื่อมวลชนเข้ารับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

โดยนาวาเอกภริศวร์ วงษ์ศรีเพ็ญ ผบ.ฉก.นย.ตราด เปิดเผยว่า ทั้ง 17 จุด ไม่ได้อยู่ในบริเวณที่เป็นอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน แต่เป็น "พื้นที่อ้างสิทธิ์" ที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนกันตามแนวสันปันน้ำ ซึ่งอยู่ภายใต้ บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ปี 2543 สาระสำคัญของ MOU ดังกล่าวคือ ให้สิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่เดิมคงอยู่ต่อไปได้ แต่ห้ามมิให้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศ

ดังนั้น หน้าที่ของฝ่ายไทยคือการเฝ้าระวัง ตรวจการณ์ และหากพบการละเมิด จะต้องทำหนังสือประท้วงและประสานงานเพื่อยับยั้ง ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาก็ให้ความร่วมมือด้วยดี แต่ความยากลำบากในการปักปันเขตแดนบริเวณนี้คือ ระยะทางกว่า 105 กิโลเมตร จากหลักเขตที่ 70 (อ.บ่อไร่) ถึงหลักเขตที่ 71 (เขาวง) ไม่มีหลักเขตแดนย่อยเลย ทำให้ต้องยึดแนวสันปันน้ำเป็นหลัก ซึ่งการตีความเส้นบนแผนที่กับการปฏิบัติในภูมิประเทศจริงด้วย GPS อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ 10-20 เมตร การตัดสินชี้ขาดจึงต้องรอคณะกรรมการปักปันเขตแดน (JBC) เท่านั้น

...

ส่วนรายละเอียด 17 จุด ส่วนใหญ่เป็นถนน-สิ่งปลูกสร้างเก่า มี 10 กว่าจุด เป็นถนนและเส้นทางลำเลียง เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ได้ผลักดันและไม่มีการทำประโยชน์ โดยจุดที่สังคมให้ความสนใจ มีดังนี้ จุดที่ 13-17 ฐานปฏิบัติการทหารกัมพูชา บ้านชำราก ต.ชำราก สร้างอาคาร 3-4 หลัง ล้ำเข้ามาในแนวที่ไทยอ้างสิทธิ์ประมาณ 160 เมตร ได้ทำการประท้วงไปแล้ว ฐานของร้อย.ร.501 ของกัมพูชา

จุดที่ 15 ตั้งอยู่บนเส้นปฏิบัติการ และมีการปรับปรุงแนวดินล้ำมาประมาณ 30 เมตร สวนยางพารา บ้านชำราก, จุดที่ 16 มีการปลูกยางพาราอายุกว่า 15 ปี บนพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ ล้ำเข้ามาประมาณ 180 เมตร ปัจจุบันทหารไทยได้ผลักดันไม่ให้มีการเข้ามาทำประโยชน์หรือกรีดยางแล้ว คงเหลือไว้เพียงสภาพป่า บ้านหนองรี ต.ชำราก, จุดที่ 11 เป็นบ้าน 3 หลังที่สร้างมาตั้งแต่สมัยสู้รบกับเขมรแดง และยังคงอยู่หลังสถานการณ์สงบ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาให้รื้อถอน จะเข้าเจรจาในวันพรุ่งนี้


นาวาเอกภริศวร์ ย้ำว่า จากเดิมที่การลาดตระเวนทำได้ยากลำบากเพราะเป็นพื้นที่ป่าเขาและมีทุ่นระเบิด ปัจจุบันได้นำอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) มาใช้ในการบินตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ทำให้สามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและเข้าไประงับยับยั้งได้ทันท่วงที

สำหรับประเด็นอาคารกาสิโนและถนนบริเวณจุดผ่อนปรนการค้าบ้านทมอดา (จุดที่ 12) ที่มีข้อสงสัยว่าเป็นการเอื้อประโยชน์นั้น นาวาเอกภริศวร์ ชี้แจงว่า โครงการก่อสร้างถนนเกิดขึ้นจาก มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในอดีต ที่ต้องการยกระดับเป็น "จุดผ่านแดนถาวร" เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว แต่ฝ่ายความมั่นคง ทั้งทหารและสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ทักท้วง เนื่องจากแนวเขตแดนยังไม่ชัดเจน โครงการจึงถูกระงับไป เหลือเพียงถนนและเสาไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้ว

จากการตรวจสอบพบว่า มีเพียงส่วนปลายของอาคารกาสิโนฝั่งกัมพูชาเท่านั้น ที่ล้ำเข้ามาในแนวเส้นที่ไทยอ้างสิทธิ์ ไม่ได้ล้ำมาทั้งอาคาร ซึ่งปัญหานี้จะยังคงอยู่จนกว่าการปักปันเขตแดนจะแล้วเสร็จ และฝ่ายความมั่นคงยังคงยืนยันไม่เห็นชอบให้เปิดเป็นด่านถาวรในขณะนี้

นาวาเอกภริศวร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า พวกเรา คือทหารของพระราชา มีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยทุกตารางนิ้ว เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์มาจากภาษีราษฎร ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล เราจะทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ไม่ได้ปล่อยปละละเลย และไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แอบแฝง

อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ จะมีการนัดพบปะกับผู้แทนระดับสูงของฝ่ายกัมพูชาเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ซึ่งจะมีการเชิญสื่อมวลชนลงพื้นที่บ้านชำราก เพื่อดูสภาพพื้นที่จริงในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ย.) เวลา 14.00 น.