เจ้าของสวนทุเรียนจันท์หัวจะปวด ซื้ออาหารเสริมมาฉีดให้ต้นทุเรียน หลังเห็นโฆษณาจากยูทูบ ผ่านไป 4 เดือน ทุเรียนทยอยยืนต้นตายกว่าร้อยต้น สูญไม่ต่ำกว่า 5 ล้าน สารวัตรเกษตรจันทบุรี เก็บตัวอย่างตรวจแล้ว
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา นายวินัย พลอยสิทธิ์ เจ้าของสวนทุเรียน พื้นที่ ม.5 ต.ทุ่งเบญจา อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี พาผู้สื่อข่าวดูความเสียหายของต้นทุเรียน ที่เหลือแต่หลุม จำนวน 104 หลุม และต้นกำลังยืนต้นตาย พร้อมเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านไป ตนดูช่องยูทูบ มีการโฆษณาถึงอาหารเสริมพืชยี่ห้อหนึ่ง ผลิตโดยผู้ประกอบการในพื้นที่ จ.จันทบุรี อ้างว่าเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่ดีต่อต้นทุเรียน ช่วยรักษาโรครากเน่าโคนเน่า ให้ดอกออกเยอะ ผลทุเรียนลูกใหญ่ ตนสนใจ จึงตัดสินใจซื้อมาฉีดฝังเข้าไปในลำต้นทุเรียน ทั้ง 200 กว่าต้นของตน ในพื้นที่ 20 ไร่ หวังให้ผลผลิตงอกงามดียิ่งขึ้นตามคำโฆษณา

หลังผ่านไปประมาณ 10 วัน สังเกตเห็นใบทุเรียนเริ่มเหลือง จากนั้นลำต้นทยอยแห้งตาย มีอาการรากเน่าโคนเน่าชัดเจน จนกระทั่งเดือนธันวาคม จึงตัดสินใจซื้อยาอาลีเอท ซึ่งเป็นยากำจัดเชื้อราไฟทอปธอรา มาทารอบโคนต้น ช่วยชะลอความเสียหายได้บางส่วน ส่วนต้นทุเรียนที่เสียหาย รีบถอนเพื่อนำไม้ไปขาย ก่อนแห้งตายไม่เหลืออะไรเลย หลังจากนั้นได้แจ้งไปทางผู้ประกอบการที่ขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมพืชตัวดังกล่าว ได้รับคำตอบให้ทำใจ เพราะสาเหตุเกิดจากเชื้อราไฟทอปธอรา ไม่เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมพืชของที่ร้าน
...

นายวินัย จึงเดินทางเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจทุ่งเบญจา ขณะนี้อยู่ระหว่างที่ สวพ.6 จันทบุรี ส่งชิ้นส่วนของต้นทุเรียนและผลิตอาหารเสริมพืชดังกล่าว ตรวจสอบ โดยความเสียหายที่เกิดขึ้น นายวินัย ประเมินขั้นต่ำได้ที่ต้นละ 5 หมื่นบาท รวมเป็นเงินกว่า 5 ล้านบาท ที่ต้องการให้ทางผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้

ด้าน นางองุ่น วีระนันท์ ผู้รับซื้อทุเรียนสวนของ นายวินัย กล่าวว่า ยืนยันจากการซื้อขายทุเรียนสวนนี้มานานแล้ว มูลค่าของทุเรียนสวนนี้อยู่ที่ประมาณปีละ 10 ล้านบาท จากที่เข้าตรวจสอบประเมินต่อเนื่องทั้งปี พบสภาพสวนมีความสมบูรณ์ ต้นทุเรียนอายุระหว่าง 20-50 ปี ให้ทุเรียนคุณภาพ และหากไม่เสียหาย จะยังคงมีเพิ่มมูลค่าสูงขึ้นต่อไปทุกปี

ขณะดียวกัน นายเกรียงไกร ปัญญาพงศธร นายอำเภอท่าใหม่ และ นางสาวเสาวครธ์ นุสติ หน.กลุ่มงานอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่กลุ่มงานอารักขาพืช ได้ลงพื้นที่สอบตรวจความเสียหาย และเปิดเผยว่า กรณีที่เกิดขึ้น กับสวนของนายวินัยนี้ ทางหน่วยงานภาครัฐไม่สามารถเบิกจ่ายเยียวยาความเสียที่หายที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากไม่เข้าเกณฑ์ภัยธรรมชาติ เช่น อุทกภัย วาตภัย แต่เป็นการที่เกษตรกรใช้สารปรับปรุงพืช ทำให้พืชล้มตายเสียหาย ซึ่งไม่เข้าเกณฑ์การช่วยเหลือที่ทำได้ในตอนนี้ คือ การเข้ามาดูแล ทำได้เพียงให้คำแนะนำว่า หลังจากนี้ควรจะเอาลูกออก เพื่อให้ลำต้นฟื้นตัว ซึ่งเท่ากับปีนี้ เกษตรกรชาวสวนท่านนี้ จะไม่สามารถขายผลผลิตที่เหลือติดต้นตามที่เห็นอยู่นี้ได้ หรือได้เป็นส่วนน้อย

...
ขณะที่ นายเกรียงไกร ปัญญาพงศธร นายอำเภอท่าใหม่ กล่าวว่า พร้อมที่จะติดตามเรื่องการส่งตัวอย่างพืชและอาหารเสริมพืชตัวที่คาดว่าจะเกิดปัญหานี้ ให้ทาง สวพ.6 ตรวจสอบ เพื่อสรุปข้อเท็จจริง เพื่อให้การฟ้องร้องดำเนินคดีเป็นไปตามกระบวนการ และเพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ กับเกษตรกรรายอื่นที่หลงเชื่อโฆษณาเกินจริง สร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรในพื้นที่
ส่วน นายสมชาย ฉันทพิริยะพูน ผู้อำนวยการกลุ่มควบคุมตามพระราชบัญญัติ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 หรือ สารวัตรเกษตร ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า ทาง สวพ.6 ไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังจากรับเรื่องต่อจากสถานีตำรวจภูธรทุ่งเบญจา ได้เข้าดำเนินการเก็บตัวอย่าง ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และส่งตัวอย่างพืชและอาหารเสริมพืช ที่เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 นี้ ส่งตรวจไปยังห้องปฏิบัติการส่วนกลางที่กรุงเทพฯ โดยระบุว่า ความผิดเบื้องต้นของผู้ผลิตอาหารเสริมพืชชนิดดังกล่าวว่า เข้าข่ายไม่มีใบอนุญาตผลิต แต่ทั้งนี้ ยังคงรอผลที่แน่ชัดจากทางห้องปฏิบัติการก่อน.