ตำรวจเรียกครูทำหน้าที่คนขับรถตู้มรณะโรงเรียนดัง อ.พานทอง จ.ชลบุรี สอบคลี่ปมทำน้องจีฮุน วัย 7 ขวบดับสลดคารถ ยันเช็กดูถึง 3 รอบไม่พบเด็กตกค้าง ขณะที่ครูประจำรถยอมรับประมาทเองที่ดูแลเด็กไม่ทั่วถึงพร้อมขอโทษครอบครัวหนูน้อยผู้สูญเสีย พนักงานสอบสวนเตรียมแจ้งกระทำประมาท ขณะที่ผลชันสูตรศพเกิดจากภาวะโลหิตล้มเหลวจากอาการฮีตสโตรก พ่อแม่สุดเศร้ายังทำใจไม่ได้ ไม่ขอรับศพไปบำเพ็ญกุศล ทำเรื่องฝากศพไว้ก่อน ด้านผู้บริหาร ร.ร.ออกมารับประกันไม่มีเรื่องฉาวข่มขืนอำพรางศพเด็กแน่นอน

จากเหตุเศร้าสลดสะเทือนใจผู้ปกครอง กรณีพบศพ ด.ญ.เขมนิจ ทองอยู่ หรือน้องจีฮุน อายุ 7 ขวบ นักเรียนชั้น ป.2 ร.ร.เพลินจิตวิทยา โรงเรียนเอกชนชื่อดังใน อ.พานทอง จ.ชลบุรี อยู่ในรถตู้ของโรงเรียน หลังคนขับนำรถไปรับช่วงเช้า แต่ครูเกิดสะเพร่าลืมเช็กยอดนักเรียนทั้งหมดทิ้งน้องจีฮุนติดอยู่ในรถถูกเผากลางแดดทั้งวัน มารู้อีกทีตอนไปเอารถรับเด็กไปส่งบ้านหลังเลิกเรียนพบศพหนูน้อยสภาพเลือดทะลักออกปากพ่อแม่ร่ำไห้แทบขาดใจ ยืนยันเอาเรื่องถึงที่สุด ขณะที่ตำรวจส่งศพพิสูจน์รอยเลือดคลี่ปมการเสียชีวิต เตรียมเรียกผู้บริหารและครูที่ดูแลมาสอบสวน

ต่อมาเวลา 10.00 น. วันที่ 31 ส.ค. พ.ต.อ.นันท์นภัส อิ่มพร ผกก.พิสูจน์หลักฐานภาค 2 พร้อมทีมงานเดินทางไปตรวจคราบรอยนิ้วมือบนรถตู้คันเกิดเหตุ ช่วงเวลาเดียวกัน พ.ต.ต.ประเสริฐ กุลบุตรดี สว. (สอบสวน) สภ.พานทอง เชิญตัวนายบุญลือแก้วดวงศรี อาจารย์สอนวิชาสังคมที่มาช่วยขับรถของโรงเรียนวันเกิดเหตุ และ น.ส.อารยา วายุวรรธนะ ครูเวรที่ดูแลเด็กในรถตู้วันที่เกิดเหตุมาสอบปากคำ พ.ต.ต.ประเสริฐเปิดเผยว่า เบื้องต้นยังไม่ได้แจ้งข้อหาอะไรกับใคร เนื่องจากต้องรอผลพิสูจน์จากแพทย์เสียก่อน ด้านการสอบสวน น.ส.อารยารับสารภาพว่า ประมาทเองที่ดูแลเด็กไม่ทั่วถึงและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นและอยากขอโทษครอบครัวเด็ก

...

พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีกล่าวอีกว่า ส่วนนายบุญลือให้การว่า วันเกิดเหตุขับรถออกจากโรงเรียนตั้งแต่เวลา 07.00 น. มี น.ส.อารยา เป็นครูผู้ดูแลเด็กประจำรถไปรับนักเรียนใน ต.บ้านเก่า ทั้งหมด 7 คน รับน้องจีฮุนคนที่ 6 จากทางเข้าภายในซอย 13 จากนั้นรับเด็กนักเรียนอีก 1 คน หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาบ้านเก่า ถึงโรงเรียน 07.25 น. นายบุญลือขับรถมาจอดหน้าอาคารอนุบาล มี น.ส.อารยา และคุณครูอีก 2 คนช่วยกันนำเด็กลงจากรถเสร็จแล้วขับรถมาจอดที่โรงรถ นำกุญแจรถวางไว้ช่องเก็บสิ่งของด้านขวาประตูฝั่งคนขับ ไม่ได้ล็อกรถไว้แต่อย่างใด

ต่อมาเวลาประมาณ 16.30 น. นายบุญลือไปที่โรงจอดรถเพื่อจะพานักเรียนขึ้นรถกลับบ้านพัก ปรากฏว่าพบ ด.ญ.เขมนิจนอนเสียชีวิตอยู่ภายในรถ นายบุญลือยืนยันว่าได้ตรวจสอบภายในรถเพื่อเช็กว่ายังมีเด็กนักเรียนหลงเหลืออยู่บนรถหรือไม่ รวมถึงก้มลงไปดูที่พื้นใต้เบาะที่นั่งกลับไม่พบขาของเด็กเลย ดูอยู่ 3 รอบมั่นใจตามที่ครูผู้ดูแลรายงานว่าเด็กนักเรียนลงครบแล้วปิดประตูเก็บรถตามปกติ ส่วนประเด็นที่พ่อแม่ติดใจเรื่องการทำร้ายร่างกาย และอาจจะถูกข่มขืนอำพรางศพนั้นยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรเด็ก เรื่องนี้ต้องให้ผลชันสูตรศพมายืนยัน อยากขอโทษพ่อแม่ของน้อง รู้สึกเสียใจและยืนยันว่าเหตุการณ์นี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

ขณะที่ช่วงบ่าย นายสิทธิชัย สุอังคะ ผอ.ร.ร.เพลินจิตวิทยา และนายสิริพงศ์ นวสกุลธนนนท์ รอง ผอ. เข้าพบพนักงานสอบสวน ใช้เวลาให้ปากคำราวครึ่งชั่วโมง นายสิริพงศ์เปิดเผยแทน ผอ.ว่า ตลอด 30 ปี ไม่เคยเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นในโรงเรียน หลังเกิดเหตุจะไปไหว้ผู้ปกครอง โรงเรียนพร้อมเยียวยาตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ แต่ผู้ปกครองไม่ยอมคุยด้วย และจะไปเจรจาอีกครั้งที่วัดบ้านเก่า อ.พานทอง จ.ชลบุรี สถานที่จัดพิธีศพน้องจีฮุน ส่วนประเด็นที่มีการพูดถึงเรื่องการกระทำชำเรานั้นยืนยันว่าไม่มีเรื่องการกระทำชำเรา หรือทำร้าย ผลก็ออกมาสอดคล้องทำไมเราถึงมั่นใจ เพราะเปิดโรงเรียนมา 30 ปีแล้ว ครูก็อยู่กันมาอายุงานก็ 30 ปี คนวัยนั้นมันไม่ใช่แบบนั้นอยู่แล้ว ส่วนเรื่องสาเหตุการเสียชีวิตทราบข่าวว่าเป็นฮีตสโตรก

วันเดียวกันเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างอุทยานพานทองได้พานายไทยอนันต์ ทองอยู่ และ น.ส.เมทิกา โกศลปลั่งศรี พ่อแม่น้องจีฮุน ไปรับศพลูกสาวที่สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ กทม. ย่าของน้องจีฮุนได้เตรียมเสื้อผ้าชุดโปรดของหลานสาวเป็นชุดนางฟ้าสีแดงไปเปลี่ยนด้วย อย่างไรก็ตาม พ่อแม่เด็กยังทำใจไม่ได้และยังแคลงใจสาเหตุการเสียชีวิตของน้องจีฮุน จึงยังไม่ได้รับศพกลับมาบำเพ็ญกุศลตามกำหนดการ และยื่นความจำนงขอฝากศพไว้ 3-5 วัน แต่ตามระเบียบสามารถเก็บร่างไว้ได้เพียง 4 วันเท่านั้น ส่วนผลการชันสูตรศพน้องจีฮุนเบื้องต้นพบสาเหตุการตายเกิดจากภาวะโลหิตล้มเหลวจากอาการฮีตสโตรกและไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย

มีรายงานว่า พนักงานสอบสวน สภ.พานทอง รวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องไปแล้ว 7 ปาก รวมถึงตรวจสอบพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ จากนี้จะเชิญพ่อแม่ของเด็กไปสอบปากคำ เพื่อเตรียมแจ้งข้อหานายบุญลือ แก้วดวงศรี อายุ 63 ปี คนขับรถ และน.ส.อารยา วายุวรรธนะ อายุ 29 ปี ครูประจำรถในความผิดฐาน “กระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” ตาม ป.อาญา มาตรา 291 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท

ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศบจร.ตร.) เปิดเผยว่า สั่งการให้ผบก.ภ.จ.ชลบุรี และ ผกก.สภ.พานทอง ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด เพราะเป็นคดีที่กระทบต่อความรู้สึกผู้ปกครองทั่วประเทศ โดยเฉพาะพ่อแม่และญาติของผู้เสียชีวิต หากพบเป็นการประมาทเลินเล่อของครูก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย เรื่องนี้ได้กำชับให้ตำรวจจราจรทั่วประเทศประสานผู้บริหารโรงเรียน เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา เพราะเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง

...

รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยประสานสถานศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันมาแล้วหลายครั้ง เช่น มาตรการเกี่ยวกับตัวรถต้องติดสติกเกอร์คำว่า “รถโรงเรียน” ทั้งด้านข้างและด้านหลัง ต้องไม่ติดฟิล์มมืด ไม่มีม่านกันแดด ติดตั้งสัญญาณเตือนภัยในรถ หรือสอนให้เด็กรู้จักบีบแตรรถ รวมทั้งซักซ้อมแผนเผชิญเหตุให้เด็กรู้จักวิธีแก้ปัญหาเมื่อเจอสถานการณ์จริง ในส่วนมาตรการความปลอดภัยเกี่ยวกับรถโรงเรียนเป็นเรื่องของกระทรวงศึกษาธิการ ตำรวจจะช่วยในการกวดขันและตักเตือนเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสลดเช่นนี้อีก

ขณะที่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่าได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว เหตุเกิดเป็นโรงเรียนเอกชนสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ว่าสาเหตุที่แท้จริงเป็นอย่างไร ที่ผ่านมากำชับเรื่องความปลอดภัยในสถานศึกษามาตลอดจะต้องเกิดขึ้นกับนักเรียนครบทุกมิติ กรณีรถรับส่งนักเรียนกระทรวงศึกษาธิการมีมาตรการเรื่องระบบรถรับส่งนักเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมาอย่างเข้มงวด

ด้านนายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นหากเป็นการลืมเด็กนักเรียนไว้ในรถโรงเรียนจนทำให้เด็กเสียชีวิต ก็ถือว่าเป็นความบกพร่องละเลยไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่ ศธ.กำหนด ดังนั้น เรื่องนี้จะต้องมีผู้รับผิดชอบ ที่ผ่านมา ศธ.มีการกำชับมาตรการและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับรถรับส่งนักเรียนให้ทุกโรงเรียนถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดโดยตลอด แต่ไม่เข้าใจทำไมโรงเรียนยังปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าเช่นนี้ขึ้นอีก ดังนั้นจะต้องมี
ผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น