เหตุการณ์ไฟไหม้ “ผับเมาน์เท่น บี จ.ชลบุรี” เป็นความสูญเสียสร้างความบอบช้ำต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 20 ราย และมีผู้บาดเจ็บโคม่าถูกไฟคลอกร่าง 60-80% รักษาตัวในโรงพยาบาลหลายคน
สิ่งที่ต้องเป็นห่วงหลังจากนี้คือ “กระบวนการเยียวยา” เบื้องต้นเจ้าของผับมอบเงิน 5 หมื่นบาทแล้วให้คำมั่นจะช่วยเหลือผู้เสียหายเต็มที่ “แต่คำถามมีว่าคำสัญญานั้นจะเป็นจริงหรือไม่” เพราะจากบทเรียนเหตุเพลิงไหม้ซานติก้าผับเวลาผ่านมา 13 ปีแล้ว “ญาติผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บ” บางคนยังไม่ได้รับเงินเยียวยาเลยด้วยซ้ำ
แม้ใช้กระบวนการทางกฎหมายจน “ศาลมีคำสั่งเป็นที่สุดให้ชดเชยก็ตาม” แต่เจ้าของผับยังไม่จ่ายเงินให้ผู้เสียหายดังเดิม ทำให้หลายคนฉุกคิดถึงเหตุผับเมาน์เท่น บี อาจเกิดการซ้ำรอยขึ้นหรือไม่ เรื่องนี้เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต
เครือข่ายป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อมได้จัดเวทีเสวนาหัวข้อ“จากซานติก้าผับถึงเมาน์เท่น บี...แก้อย่างไรให้ตรงจุด” เพื่อถอดบทเรียนหาทางป้องกันเหตุซ้ำรอย และช่วยเหลือผู้เสียหายนี้ นฤมล เมฆบริสุทธิ์ รอง ผอ.ฝ่ายพิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกว่า
...
บทเรียนการช่วยเยียวยาผู้เสียหายจากเพลิงไหม้ซานติก้าผับมีปัญหาฟ้องบังคับคดีผู้ประกอบธุรกิจมากต่อให้ฟ้องแค่ไหนก็ได้กระดาษใบเดียวเพราะเขาไม่มีทรัพย์สินชดเชยจนนำคดีฟ้องผู้ถือหุ้นได้เงินเยียวยาส่วนหนึ่ง
ด้วยมุมความสูญเสียแล้ว “ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิได้รับการเยียวยา” อันเป็นหลักขั้นพื้นที่ฐานในการคุ้มครองผู้บริโภคที่ “เจ้าของธุรกิจ” ต้องจัดการปัญหาชดเชยต่อผู้บริโภคให้เรียบร้อย แต่ไม่ใช่ให้มาฟ้องร้องคดีกันเอง
คราวนั้น “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” มีบทบาทประสานสภาทนายความฯ ช่วยเหลือผู้บริโภคดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา พร้อมกับมีการฟ้องคดีทางศาลปกครองต่อ กทม. กรณีไม่ควบคุมดูแลอาคารเปิดเป็นสถานบริการ ไม่ตรวจสอบสภาพโครงสร้างอุปกรณ์ให้เป็นตามในกฎกระทรวงบัญญัติไว้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522
ต่อมาศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้จ่ายผู้ฟ้อง 12 คนราว 5 ล้านกว่าบาท ผลสุดท้าย “กทม.ก็นำเงินงบประมาณมาเยียวยา” กลายเป็นผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษ ทั้งที่การก่อสร้างอาคารต่อเติมดัดแปลงนั้น “ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากเจ้าหน้าที่รัฐ” กลับปล่อยปละละเลยจนมาเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมขึ้น
ส่วนคดีอาญาศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญาแก่ผู้บริหาร และกรรมการหลังต่อสู้มา 7 ปี “แทบทดแทนไม่ได้สำหรับครอบครัวผู้สูญเสีย” ฉะนั้น เหตุซานติก้าผับนับเป็นบทเรียนสะท้อนถึงความประมาท การทำผิดกฎหมาย หรือการละเลยของเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบธุรกิจลักษณะนี้อยู่ตลอด
แต่ก็ปรากฏว่า “หน่วยงานรัฐ” กลับไม่ได้ดำเนินการใดๆผลสุดท้ายก็มาเกิดเหตุซ้ำ “ผับเมาน์เท่น บี” ทำให้ผู้บริโภคที่ไม่รู้เรื่องอะไรเพียงแค่อยากเดินเข้าไปเที่ยว “ตกเป็นเหยื่อความสูญเสีย” เมื่อเกิดปัญหาก็ไม่พบการเยียวยาจริงจังให้เป็นตามสิทธิที่ผู้เสียหายควรได้รับการเยียวยาอย่างเป็นธรรม ทั้งต่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น
สิ่งที่อยากเสนอต่อไปนี้ “สถานบริการควรติดใบอนุญาตไว้หน้าผับให้ชัดเจน” เริ่มจากภาครัฐออกระเบียบบังคับให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการจดทะเบียนเปิดสถานบริการ หรือการตรวจอาคารให้ปลอดภัยตามมาตรฐานถูกต้อง เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ก่อนเข้าใช้บริการ ที่มิใช่ได้ใบอนุญาตมาแล้วเก็บไว้ลิ้นชักเชยชมคนเดียว
อีกทั้งต้องมีกลไกหลักค้ำประกันให้ผู้บริโภคด้วย “การทำประกันความเสียหาย” เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิกรณีเกิดเหตุร้ายสุดวิสัยให้ “ผู้บริโภคได้รับชดเชยทันที” ไม่ต้องไปเรียกร้อง หรือฟ้องร้องกันให้ยืดยาว
เช่นเดียวกับ จะเด็จ เชาวน์วิไล ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล บอกว่า สมัยเหตุไฟไหม้โรงงานเคเดอร์เคยเข้าไปช่วยลูกจ้างต่อสู้เรียกร้อง “นายจ้าง” จ่ายเงินค่าชดเชยผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บรายละ 5 แสนบาท (ไม่รวมเงินชดเชยตามกฎหมาย) แล้วเจรจาเหลือรายละ 2 แสนบาท พร้อมค่าการศึกษาบุตรผู้เสียชีวิตรายเดือนจนจบปริญญาตรี
...
แต่สำหรับ “เหตุเพลิงไหม้ผับเมาน์เท่น บี” ผู้เสียหายมีทั้งเป็นเสาหลักครอบครัวและบางคนอยู่ในวัยทำงาน แต่ผู้ประกอบการกลับจ่ายผู้เสียชีวิตรายละ 5 หมื่นบาท ผู้บาดเจ็บรายละ 1 หมื่นบาท ถือเป็นเงินน้อยมากๆ
ถ้าเทียบกับมาตรฐาน “เหตุโรงงานเคเดอร์” ผ่านมา 30 ปี หากคิดตามอัตราเงินเฟ้อ 4-5% แล้ว “ผู้เสียหายจากเพลิงไหม้ผับเมาน์เท่น บี” ควรได้เงินชดเชยไม่ต่ำกว่าล้านบาท เรื่องนี้มีความสำคัญผู้ประกอบการต้องตั้งโจทย์หลักการเยียวยาไว้ 2 เรื่อง คือ 1.ผู้เสียหายเป็นเสาหลักของครอบครัว 2.บางคนมีอายุอยู่ในวัยทำงานอีกยาวไกล
เพื่อเป็นการช่วยให้ผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรม ครอบครัวผู้สูญเสียได้รับการชดเชย เพราะต้องเสียเสาหลักครอบครัว และอยู่ในวัยทำงานเสียโอกาสหลายประการ แล้วภาครัฐต้องมีบทเรียนการปล่อยปละละเลยจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนด้วย
ย้ำเหตุการณ์หากผู้ประกอบการไม่คำนึงถึงหลักการเยียวยา 2 เรื่องนี้สภาพผู้เสียหายคงไม่ต่างจากกรณีเพลิงไหม้ซานติก้าผับที่หลายคนยังไม่ได้รับเงินชดเชยใดๆ จนทำให้คุณภาพชีวิตย่ำแย่มาก ดังนั้น เหตุผับเมาน์เท่น บี นี้ผู้เสียหายต้องร่วมกันโดยมีภาคสังคมและนักวิชาการช่วยเรียกร้องต่อเจ้าของผับหรือภาครัฐชดเชยค่าเสียหายนั้น
...
เช่น เหตุโรงงานลำไยอบแห้งระเบิดปี 2542 ตาย 36 คน มีการเรียกร้องกับนายจ้างให้จ่ายรายละ 5 แสนบาท และต่อรองเหลือรายละ 2 แสนบาท สุดท้ายนายจ้างหนีออกนอกประเทศจนต้องหันมาเรียกร้องต่อ “รัฐบาล” ใช้เวลาต่อสู้นานกว่า 6 เดือน ทำให้มีมติจ่ายเป็นกรณีพิเศษรายละ 2 แสนบาท และค่าการศึกษาบุตรจนจบปริญญาตรี
โดยเฉพาะ “กระทรวงแรงงาน” ผู้มีหน้าที่ตามกฎหมาย 2 เรื่อง คือ 1.ชดเชยตามหลักประกันสังคม 2.ชดเชยตาม พ.ร.บ.ความปลอดภัยในการทำงาน ทั้งยังมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสถานประกอบการ รวมถึงสถานบันเทิงนี้ด้วย เช่น ตรวจทางหนีไฟ มีการซ้อมการหนีไฟ หรือมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) หรือไม่ด้วย
ประเด็นที่อยากเสนอก็คือ “ปัจจุบันนี้ประชาชนค่อนข้างรู้สึกว่าสถานบันเทิงประเภทผับ บาร์ ไม่มีความปลอดภัย” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสียงดัง เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันบ่อย และยังเสี่ยงเหตุเพลิงไหม้ขึ้นอีก เช่นนี้มองว่าต้องควบคุมกันจริงจังเสียที “อย่ามองเพียงเป็นที่คลายเครียด” เพราะผลกระทบอื่นที่เกิดขึ้นก็มีอยู่มากมาย
ว่าที่ร้อยตรีสมชาย อามีน นายกสมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม บอกว่า สิ่งที่อยากได้ยินจากปาก “ผู้ประกอบการ คือคำรับสารภาพ” ทำไมมีความสามารถเปิดผับในเขตห้ามมีสถานบริการ ทั้งดัดแปลงร้านอาหารเป็นผับ และเปิดให้บริการในยามโควิด-19 ระบาดได้ในเขตของกองทัพเรือง่ายดายมาก...?
เพราะด้วย “พื้นที่ จ.ชลบุรี” ส่วนใหญ่อนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงลักษณะนี้ได้แค่ที่พัทยาและบางละมุงเท่านั้น “ผับเมาน์เท่น บีเปิดใน อ.สัตหีบมา 2 เดือน” ชาวบ้านรู้กันทั่วแต่หน่วยงานราชการไม่มีใครทราบเลย
...
สาเหตุปัญหาคือ “การบังคับใช้กฎหมายเจ้าหน้าที่รัฐหย่อนยาน” จนนำไปสู่การเกิดเหตุการณ์ซ้ำซากตั้งแต่อดีตมาแล้วมากมายทั้งที่ “กฎหมายเมืองไทยที่มีอยู่ดีมากๆ” แต่การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ ดังนั้น หากต้องการแก้ปัญหาให้ตรงจุด “ต้องแก้ที่ตัวของเจ้าหน้าที่รัฐก่อน” ส่วนการชดเชยเยียวยาเป็นเรื่องปลายเหตุ
จริงๆแล้วถ้าผู้ประกอบการหรือหน่วยงานรัฐ ปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดไว้ทุกประการแล้วเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นก็พอรับได้ แต่กรณีผับเมาน์เท่น บีทำผิดหลายอย่างเจ้าหน้าที่สามารถตรวจป้องกันตั้งแต่ต้นได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้น เรื่องนี้ “หน่วยงานรัฐในพื้นที่ระดับอำเภอ จังหวัดต้องรับผิดชอบ” แล้วค่อยไปไล่เบี้ยต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมาย “เพื่อป้องกันไม่ให้นำเอาเงินภาษีของประชาชนมาชดเชยเยียวยา” แต่ถ้าปรากฏว่ามีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ไต่สวนเอาผิดทางคดีอาญาด้วย
หากเรื่องนี้มี “เจ้าหน้าที่รัฐที่ละเลยโดยมิชอบรับโทษติดคุกจริงๆ” ก็น่าจะเป็นตัวอย่างให้บุคคลอื่นไม่กล้าปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ได้ แล้วในอนาคตปัญหาสถานบริการผิดกฎหมายน่าจะแก้ไขได้ดีขึ้นตามลำดับ
เหตุเพลิงไหม้ผับนี้สะท้อนให้เห็น “ความย่อหย่อนหลายอย่าง” อันเป็นช่องว่างให้ “ผู้ประกอบการเซฟคอสต์” ผลักภาระความเสี่ยงให้กับผู้บริโภคมาตลอด...นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ “รัฐบาล” ต้องจัดระเบียบให้เข้าที่เข้าทางมีความปลอดภัยเป็นมาตรฐานสักทีเพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นซ้ำอีก.