ล็อกตัวพกปืนเข้าศาล

ร.ต.อ.ตำรวจประจำศาลจันทบุรีเก็บตัวเงียบ ขอพักฟื้นฟูจิตใจหลังคลิปส่งปืนให้เสมียนทนายซัลโว พล.ต.ต.ดับว่อนโลกโซเชียล ขณะที่ ผกก.เมืองจันท์ ผู้บังคับบัญชาระบุคลิปที่เผยแพร่ยังไม่ชัดเจนเข้าข่ายความผิดต้องรอผลการสอบสวนของคณะกรรมการ ส่วนอดีตเมีย พล.ต.ต.นำหลักฐานที่ดินชนวนเหตุฆ่าเดือดหน้าบัลลังก์มอบกองปราบฯเพื่อทวงคืนผืนดินที่ถูกคนนอกครอบครองกลับคืนสู่มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย ขณะที่ รปภ.ประจำศาลจังหวัดบึงกาฬรวบอดีตตำรวจพกปืนเข้าไปในศาลอีกราย

จากเหตุจ่อยิงระห่ำหน้าบัลลังก์ในศาลจังหวัดจันทบุรีโดย พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ อายุ 67 ปี อดีตรองจเรตำรวจแห่งชาติ จำเลยใช้ปืนกระหน่ำยิงฝ่ายโจทก์คือนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ อายุ 61 ปี ทนายความชื่อดัง นางสุภาพร ปรมีศณาภรณ์ ภรรยา นายวิชัย อุดมธนภัทรและนายวิจัย สุขรมย์ ทีมทนายความ ขณะที่ พล.ต.ต.ธารินทร์ ถูกนายธนากร ธีรวโรดม เสมียนทนายขอปืน ร.ต.อ.ขจร บรรจง รอง สวป.สภ.เมืองจันทบุรี ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจศาล ยิงใส่ พล.ต.ต.ธารินทร์ ผู้ก่อเหตุเสียชีวิตรวมผู้เสียชีวิต 3 ศพ สาเหตุจากข้อพิพาทที่ดินเนื้อที่ 3,800 ไร่ ที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ส่วนนายธนากร มือยิง พล.ต.ต.ธารินทร์ ถูกจับข้อหาฆ่าผู้อื่น ขณะที่ ร.ต.อ.ขจร ยังอยู่ระหว่างสอบสวนนั้น

ต่อมาช่วงสายวันที่ 15 พ.ย.ผู้สื่อข่าวเดินทางไปบ้านพักข้าราชการตำรวจ เลขที่ 36 ตั้งอยู่หลัง สภ.เมืองจันทบุรี ของ ร.ต.อ.ขจร บรรจง อายุ 55 ปี รอง สวป.สภ.เมืองจันทบุรี ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจศาลพบว่าประตูบ้านล็อกกุญแจถูกปิดเงียบสนิทมีเพียงรถเก๋ง และรถจักรยานยนต์จอดอยู่รวม 3 คัน ขณะที่เพื่อนตำรวจด้วยกันบอกว่าไม่เห็น ร.ต.อ.ขจร กลับมาที่บ้านนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ยิงกันในศาลมีเพียงภรรยาพักอยู่ตามลำพัง โดยกลางวันจะขายขนมในตลาดเทศบาลเมืองจันทบุรีโดยภรรยาไม่ขอพูดถึงเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทราบว่า ร.ต.อ.ขจรอยู่ในระหว่างพักฟื้นฟูสภาพจิตใจ อีกทั้งเป็นโรคความดันสูงต้องกินยาทุกวัน และก่อนหน้านี้เคยเกิดอาการวูบมาแล้วครั้งหนึ่ง

...

ขณะที่ พ.ต.อ.คมน์ศรน์ มาบำรุง ผกก.สภ.เมืองจันทบุรี เปิดเผยว่า จากคลิปที่เผยแพร่กรณี ร.ต.อ.ขจร ยื่นปืนให้กับนายธนากรไปยิง พล.ต.ต.ธารินทร์นั้น ยังไม่ชัดเจนว่าเข้าข่ายความผิดในฐานผู้สนับสนุนคดีฆ่าคนตายหรือไม่เพราะข้อเท็จจริงยังอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการสอบสวน หากมีมูลตามพยานหลักฐานที่ปรากฏต้องว่ากันไปตามผิดแต่ขณะนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา ร.ต.อ.ขจร แต่อย่างใด ทั้งนี้ จะได้เรียกตัว ร.ต.อ.ขจร มาสอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้ง หลังสภาพจิตใจดีขึ้น พร้อมกันนี้ได้นำอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารและปืนส่วนตัวมาเก็บไว้ที่โรงพักเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นช่วงขณะจิตใจไม่ปกติ

ส่วนผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เหลือเพียงนางสุภาพร ปรมีศณาภรณ์ อายุ 59 ปี ภรรยานายบัญชาเพียงคนเดียวที่ยังพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียูโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ท่ามกลางการดูแลอาการบาดเจ็บของแพทย์อย่างใกล้ชิด หลังเข้ารับการผ่าตัดจากการถูกยิง ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี มีอาการตอบสนอง หายใจสัมพันธ์กับเครื่องดี คาดต้องรักษาอีกราว 1-2 สัปดาห์และยังไม่สามารถให้ปากคำกับทางตำรวจได้จนกว่าอาการจะดีขึ้น

ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.เขมจิรา บัณฑูรนิพิท อดีตภรรยา พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ อดีตรองจเรตำรวจ จำเลยในคดีข้อพิพาทเรื่องมรดกที่ดิน 3,800 ไร่ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาทในพื้นที่ จ.จันทบุรี ที่ก่อเหตุยิงคู่กรณีจนเสียชีวิตในศาลจังหวัดจันทบุรี เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เพื่อนำเอกสารหลักฐานยืนยันว่าที่ดินผืนดังกล่าวเป็นของมูลนิธิอธิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยซึ่งข้อมูลหลักฐานดังกล่าว พล.ต.ต.ธารินทร์ได้รวบรวมไว้ก่อนหน้าเกิดเหตุส่งมอบให้กับกองปราบฯ

น.ส.เขมจิรากล่าวว่า หลักฐานที่นำมามอบในวันนี้ เป็นหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่อดีตสามีรวบรวมไว้และสั่งให้นำมามอบให้กองปราบฯก่อนเกิดเหตุเพียงไม่กี่วัน ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา อดีตสามีต่อสู้เพื่อสิทธิ์อันชอบธรรมให้กับมูลนิธิอธิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยแต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมและเกิดความกดดันมาตลอดจนมีคดีฟ้องร้องแยกย่อยไปมากันถึง 13-14 คดี นอกจากนี้ ยังมีที่ดินในพื้นที่ จ.สงขลา อีก 600 ไร่ และ จ.ชลบุรี อีก 1,700 ไร่ ของมูลนิธิฯ ที่ตกไปอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอกซึ่งในหลักฐานที่นำมามอบให้ครั้งนี้จะทราบทันทีว่าเป็นใคร “ดิฉันรู้สึกเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้งหมด ขอให้แต่ละฝ่ายทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องของเวรกรรม เพราะข้อพิพาทเป็นเรื่องธรณีสงฆ์ มีบาปแรง” น.ส.เขมจิรากล่าว

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้รับหลักฐานเอกสารไว้และนำไปพิจารณาควบคู่กับพยานหลักฐานเดิมในคดีอาญาที่มูลนิธิอธิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยเคยแจ้งความดำเนินคดีกับนายบุญช่วย เจริญสถาพร อายุ 78 ปี น้องชายพระกิตติวุฒโฑ ภิกขุ ในความผิดฐานยักยอกที่ดินของมูลนิธิจำนวน 3,800 ไร่ไปเป็นของตนซึ่งมีการแจ้งความไว้เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2561 ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบพิจารณาพยานหลักฐานทางคดี

ด้าน พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. กล่าวถึงคดีข้อพิพาทที่ดิน 3,800 ไร่ใน จ.จันทบุรีว่า คดีนี้มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยเจ้าของที่ดินที่แท้จริงได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายบุญช่วย เจริญสถาพร ฐานยักยอกทรัพย์ตั้งแต่ปี 2561 กองปราบฯได้รับคดีไว้เป็นคดีอาญาที่ 21/2561 พร้อมสืบสวนสอบสวนเรื่อยมาจนขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้วพร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป.ควบคุมดูแลคดีเป็นกรณีพิเศษและตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้นมาดูแลคดีด้วย เนื่องจากเป็นคดีที่มีความขัดแย้งมาอย่างยาวนานจนเชื่อได้ว่าเจ้าของที่ดินน่าจะเป็นของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยเพราะพระกิตติวุฒโฑ พระชื่อดังในอดีตประธานมูลนิธิในสมัยนั้นได้รวบรวมเงินบริจาคของชาวบ้านซื้อเพื่อกิจของสงฆ์ไม่ได้ซื้อมาเพื่อมอบให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ

“ผมได้กำชับให้พนักงานสอบสวนทำคดีนี้ตามกรอบของกฎหมาย ให้ความจริงปรากฏต่อสังคมว่าที่ดินผืนนี้ใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เพราะแนวทางสืบสวนพบว่าที่ดินที่ซื้อมานั้นมาจากเงินของชาวบ้านที่มีจิตศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ใครจะเอาครอบครองไม่ได้มีวัตถุประสงฆ์เพื่อพุทธศาสนาเท่านั้น” พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวและว่า กองปราบฯพร้อมทวงผืนดินกลับคืนมาให้ศาสนาพุทธ ขณะเดียวกันสังคมต้องช่วยกันกดดันให้แผ่นดินที่ได้มาจากแรงศรัทธาของชาวบ้านนำมาใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ คดีนี้กองปราบฯไม่มีนอกมีในแต่พร้อมที่จะทำให้ทุกอย่างหมดข้อสงสัย

...

ด้าน พ.ต.อ.เอนกกล่าวว่า พล.ต.ต.จิรภพได้เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พร้อมกำชับให้ทำคดีด้วยความเป็นธรรมและพยายามเรียกคืนที่ดินให้กลับมาเป็นเจ้าของที่ที่แท้จริง เป็นคดีที่ผู้เสียหายคือมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยแจ้งความดำเนินคดีกับนายบุญช่วยหลังทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของมูลนิธิแต่ถูกสวมสิทธิการครอบครองและนำไปออกโฉนดโดยมิชอบ ทั้งนี้ตามแนวทางสืบสวนและสอบปากคำพยานหลายสิบปากพบว่า ที่ดินผืนนี้พระกิตติวุฒโฑได้รวบรวมเงินบริจาคของชาวบ้านไปซื้อที่ดินเพื่อปฏิบัติกิจกรรมต่างๆของพระสงฆ์จำนวน 3,800 ไร่จากนายสมพล โกศลานันท์ ซึ่งเป็นที่ดิน ส.ป.ก.ใน ต.พลวง ต.ตะเคียนทอง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรีและบางส่วนใน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ราคา 12 ล้านบาท แต่จ่ายเงินเพียง 8 ล้านบาท ยังขาดอีก 4 ล้านบาท

พ.ต.อ.เอนกกล่าวต่อว่า หลังจากได้ที่ดินมาแล้วพระกิตติวุฒโฑ มอบหมายให้นายบุญช่วยซึ่งเป็นน้องชายเป็นผู้ดูแลที่ดิน โดยมีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งเข้าไปทำกิจกรรมทางศาสนาและปรับปรุงพื้นที่เพื่อเป็นที่ปฏิบัติธรรม นอกจากนี้พระกิตติวุฒโฑยังได้บริจาคที่ดินในพื้นที่แห่งนี้จำนวน 50 ไร่ให้กับโรงเรียนบ้านตาเรียวเพื่อกิจกรรมทางด้านการศึกษาโดยยกให้รัฐเป็นเจ้าของและออกโฉนดไว้พร้อมมีหนังสือยืนยันการบริจาคชัดเจน แต่ภายหลังกลับไปอยู่ในความครอบครองของนายบุญช่วยซึ่งตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา กระทั่งปี 2548 พระกิตติวุฒโฑมรณภาพ ต่อมาปี 2550 นายบุญช่วยได้ยื่นเรื่องฟ้องร้องนายเรวัฒิ โกศลานันท์ ลูกชายของนายสมพล ในฐานะเป็นผู้รับมรดกให้โอนที่ดินดังกล่าวมาเป็นของตัวเองโดยมีนายบัญชาเป็นทีมทนายความ กระทั่งศาลจังหวัดจันทบุรีมีคำพิพากษาให้ทายาทของนายสมพลโอนที่ดินดังกล่าวไปเป็นชื่อของนายบุญช่วย ตามที่ร้องขอ

จากนั้นปี 2554-2555 นายบุญช่วยได้ไปยื่นขอเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก.เป็นโฉนดทำให้ที่ดินมีมูลค่าสูงขึ้นและที่ผ่านมาไม่ได้ทำกิจกรรมทางศาสนาตามวัตถุประสงค์ของที่ดินแต่อย่างใด ต่อมามีเรื่องฟ้องร้องกับ น.ส.เขมจิรา บัณฑูรนิพิท และ พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ ซึ่งเป็นทายาทรุ่นหลานของนายสมพลที่ต้องการฟ้องร้องให้ที่ดินกลับมาเป็นของทายาทแต่ฝ่ายทายาทแพ้คดีมาโดยตลอดและยังมีคดีที่ฟ้องร้องกันเรื่อยมาจนปัจจุบัน โดย น.ส.เขมจิรา และ พล.ต.ต.ธารินทร์ ถูกนายบุญช่วยและทีมทนายความ ฟ้องร้องมากถึง 12 คดี กระทั่งทางมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยทราบว่าพระกิตติวุฒโฑได้ซื้อที่ดินผืนนี้ไว้ให้กับมูลนิธิจึงได้มาแจ้งความดำเนินคดีที่กองปราบปรามเพื่อดำเนินคดีกับนายบุญช่วย และจะได้ฟ้องร้องให้ที่ดินกลับมาเพื่อดำเนินกิจการของพระสงฆ์ต่อไป

...

ขณะที่เหตุยิงกันตายหน้าบัลลังก์ศาลจังหวัดจันทบุรียังสรุปไม่ได้ว่าอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุหลุดเข้าไปในศาลได้อย่างไร ล่าสุดรวบอดีตตำรวจพกปืนเข้าไปในศาลอีก โดยนายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 08.15 น. วันที่ 15 พ.ย. ที่ศาลจังหวัดบึงกาฬ เจ้าหน้าที่ รปภ. ประจำศาลจังหวัดบึงกาฬตรวจพบคนพกปืนเข้าบริเวณทางเข้าศาลจังหวัดบึงกาฬ เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไว้ทราบชื่อ นายปิยะ ยืนยั่ง อายุ 64 ปี เป็นตำรวจนอกราชการโดยพกปืนไว้ในกระเป๋า สอบสวนทราบว่านายปิยะมาขอคัดถ่ายสำเนาคำพิพากษาในคดีความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.รับราชการทหารซึ่งนายปิยะไม่ใช่คู่ความในคดีเป็นเพียงญาติของจำเลย ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนและตั้งสำนวนไต่สวนละเมิดอำนาจศาลพร้อมดำเนินคดีตามความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนต่อไป