กู้ภัยรุ่นน้าที่จันทบุรี ตระเวนช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมหลายที่ ฝ่ากระแสน้ำถูกไม้แทงที่ขา ทำแผลแล้วแต่ยังติดเชื้อเข้ากระแสเลือด หัวใจหยุดเต้น ปั๊มขึ้นมาได้ เล่านาทีเฉียดมัจจุราช "เขาบอกว่า ยังไม่ถึงเวลาต้องมาที่นี่"
เรื่องราวของกู้ภัยจิตอาสา ที่อุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่น จนตัวเองเกือบเอาตัวไม่รอดรายนี้ เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 ต.ค. หลังจากที่ นายตระกูล หรือกุ้ง อภิชิตวงศ์นุชิต อายุ 51 ปี หรือ น้ากุ้ง อยู่บ้านเลขที่ 65 ม. 5 ต.พลิ้ว อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี อาสมัครกู้ภัยสมาคมสว่างกตัญญูธรรมสถาน จันทบุรี นามเรียกขานวิทยุ “คมบาง 13” เข้ามารับการรักษาตัว จากอาการติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง ขั้นวิกฤติจนหัวใจหยุดเต้น และเมื่อช่วงเย็นของวัยที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา นางสุจิตรา ศรีนาม นายกเหล่ากาชาด จ.จันทบุรี นายปฏิญญา พานิชอัตรา นอภ.แหลมสิงห์ และคณะเหล่ากาชาด ได้เข้าเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจ พร้อมมอบสิ่งของและเงินบำรุงขวัญให้กับ นายตระกูล อภิชิตวงศ์นุชิต ที่นอนรักษาตัวอยู่ ที่ รพ.แหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี
ทั้งนี้ ทราบว่า หลังจากนายตระกูล หรือ น้ากุ้ง เดินทางกลับจากไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมกับเพื่อนกู้ภัย สมาคมสว่างกตัญญู จันทบุรี อีกหลายสิบชีวิต และยังมาช่วยผู้ประสบภัยน้ำป่าเทือกเขาสระบาป น้ำตกพลิ้ว เข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน และพื้นที่เกษตรกรรม
...
นายตระกูล หรือ น้ากุ้ง ที่ขณะนี้อาการเริ่มดีขึ้นมาก ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า เมื่อครั้งที่เกิดวิกฤติน้ำท่วมที่ อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ได้พร้อมกับเพื่อนกู้ภัย เดินทางไปช่วยเหลือเป็นเวลา 7 วัน ทั้งการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย ขนสิ่งของ หรือแม้แต่ต้องเดินลุยน้ำนำอาหารไปแจกจ่ายชาวบ้าน ส่วนตัวเองอาศัยกินนอนอยู่ศาลาวัด หลังสถานการณ์คลี่คลายลง ประกอบกับเริ่มเหนื่อยล้า จึงถอนกำลังกลับมาจันทบุรี ซึ่งขณะนั้นก็ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วย
ต่อมาอีกไม่กี่วัน ได้เกิดมีน้ำป่าเทือกเขาสระบาป ไหลหลากจากน้ำตกพลิ้ว ตนเองพร้อมกับเพื่อนกู้ภัยฯ ได้ออกมาช่วยเหลือชาวบ้าน จนประสบเหตุ ถูกท่อนไม้ที่ไหลมากับน้ำกระแทกที่เท้าซ้ายเป็นแผลฉีกขาด เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ได้กลับมาทำแผลตามขั้นตอนที่ได้รับอบรมมา ถัดมาอีก 2-3 วัน จึงมารู้สึกว่าเริ่มมีอาการป่วย หนักขึ้นจนมีไข้ขึ้นสูง ญาติพี่น้องต้องนำส่ง รพ.แหลมสิงห์ แต่อาการทรุดหนัก จึงถูกส่งตัวมารักษาต่อที่ รพ.พระปกเกล้า จนในที่สุดก็ช็อกหมดสติไป ขณะนั้นไม่รู้ว่าตัวเอง หัวใจหยุดเต้นไปแล้ว
“ในช่วงที่หลับไปนั้น รู้สึกเหมือนกับอยู่ในความฝันว่า ตัวเอง เข้าไปอยู่อีกมิติหนึ่ง ได้พบกับคนตัวสูงใหญ่ พบกับผู้คนมากมาย เดินเป็นแถวแต่ไม่มีใครพูดด้วย จากนั้น ได้พาไปเที่ยวชมสวนดอกไม้ และอุโมงค์พฤกษา ซึ่งบุคคลที่พาไปบอกว่า ยังไม่ถึงเวลาที่ตัวเองจะต้องอยู่ที่นี่ ให้กลับไปที่เคยมา เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่านอนอยู่บนเตียง โดยมีแม่และพี่น้องนั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับเล่าเรื่องที่ตัวเอง ถูกแพทย์ช่วยปั๊มหัวใจทำให้รอดกลับมาจากความตาย”
น้ากุ้ง กล่าวอีกว่า ขณะนี้ ทางแพทย์บอกว่า อาการดีขึ้นตามลำดับ และเมื่อตนเองหายดีเป็นปกติแล้ว ยืนยันว่า จะกลับไปเป็นอาสากู้ภัยฯทำงานช่วยเหลือสังคมอีกเหมือนเดิม และเชื่อว่าบุญกุศลที่ตัวเองสั่งสมมา ได้บันดาลให้ตนเอง รอดจากความตายในครั้งนี้เพื่อมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อไป และส่วนหนึ่งต้องขอบคุณกำลังใจจาก พี่น้อง กู้ภัยฯด้วย
ขณะที่ นางชูชาติ สายชล อายุ 69 ปี มารดา บอกว่า นายตระกูล หรือ น้ากุ้ง ที่เป็นลูกชายคนโต มีพี่น้องร่วมกัน 5 คน ปัจจุบันมีอาชีพเป็นช่างทองและทำสวนผลไม้ ได้ผันตัวเป็นจิตอาสา เข้าร่วมงานกู้ภัยฯมานานกว่า 20 ปี และทุกครั้งไม่ว่าที่ไหนของประเทศไทยเกิดภัยพิบัติ ลูกชายพร้อมกับเพื่อนๆ จะเดินทางไปช่วยเหลือทุกครั้ง แม้ว่าตัวเองจะป่วยมีโรคประจำตัว ซึ่งตนเองเคยบอกกล่าว ขอร้องว่าให้คนอื่นที่มีสุขภาพแข็งแรงพร้อมกว่า เดินทางไปบ้าง แต่ลูกชายไม่ยอม ต้องเดินทางไปกับเพื่อนๆ จิตอาสาทุกครั้ง
ส่วนเรื่องอาการป่วยของลูกชาย ตอนนี้ดีขึ้นมาก โดยครั้งแรกที่อาการเข้าขั้นวิกฤติ แพทย์ได้เข้ามาบอกให้ทำใจ เนื่องจากลูกมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด อาจหยุดหายใจได้ทุกเมื่อ แต่หากข้ามคืนนี้ไป ก็มีโอกาสรอด ในที่สุดคืนนั้นลูกชายเกิดอาการช็อกหมดสติหัวใจหยุดเต้น แพทย์ได้พยายามช่วยรักษา ยื้อชีวิตจนสุดความสามารถ จนรุ่งเช้าได้เข้าไปเยี่ยมลูก กลับพบว่า ยังนอนอยู่บนเตียง พร้อมกับยกมือชูนิ้วโป้งแสดงตัวเองว่ายังไหว ทำให้ตนเองดีใจมาก ถึงกับร้องไห้ ที่ลูกชายรอดตายกลับมาได้ราวปาฏิหาริย์ เชื่อว่าเพราะเป็นบุญกุศลที่ตัวเขาทำไว้
...
ด้าน นายแพทย์ วีระ สุเจตน์จิตต์ ผอ.รพ.แหลมสิงห์ ที่มีความสนิมสนมกับกู้ภัยฯในพื้นที่มานาน เปิดเผยว่า จากผลการรักษาตอนนี้ นายตระกูล หรือ น้ากุ้ง มีอาการดีขึ้นมาก เนื่องจากได้รับยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังมีผลข้างเคียงจากโรคประจำตัว ทำให้ภาวะเกล็ดเลือดค่อนข้างต่ำ และตกค้างที่ดวงตาทำให้มีสีแดง แต่ไม่ส่งผลต่อการมองเห็น และหายกลับมาคืนตามเดิม เมื่อเกล็ดเลือดเข้าสู่ภาวะปกติ