ช้างป่าเขาอ่างฤาไน ยกทัพออกหากินป่า ต.ท่าตะเกียบ ฉะเชิงเทรา ก่อนลงไปในสระน้ำสวนปาล์มชาวบ้าน แล้วไม่สามารถขึ้นมาได้ ทั้ง 13 ตัวพยายามตะเกียกตะกายหาทางขึ้น กระทั่ง นอภ.ท่าตะเกียบสั่งนำรถแบ็กโฮ มาขุดขอบสระน้ำเพื่อเปิดทางให้ขึ้นกว่า 5 ชม.จึงสำเร็จท่ามกลางความดีใจของชาวบ้าน ขณะที่เจ้าของสวนไร่นา วอนรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาที่ช้างป่ากว่า 300 ตัวออกมาหากิน...
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 ม.ค.62 น.ส.สมจิตร สาธุชาติ กำนัน ต.ท่าตะเกียบ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบช้างป่าหลายตัวตกลงไปในสระน้ำบริเวณริมป่าปาล์มเนินถังแดง หมู่ที่ 3 บ้านทุ่งยายชี จึงรายงานให้นายฉันท์ แป้นเพชร นายอำเภอท่าตะเกียบ พร้อมด้วยนายวีระพงษ์ โคระวัตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ร.ท.เดชสิทธิ์ ดำดง รองผบ.ร้อย.ทพ.1306 นายทวี สาธุชาติ อดีตกำนัน ต.ท่าตะเกียบ พร้อมกำลังชุดเคลื่อนที่เร็วติดตาม และผลักดันช้างป่า ชุดรักษาความสงบประจำหมู่บ้าน เดินทางไปตรวจสอบจุดที่ช้างตกลงไปในสระน้ำ มีขนาดกว้างประมาณ 30 เมตร ยาว 15 เมตร มีช้างตัวเล็ก ตัวใหญ่ และลูกรวม 13 ตัว กำลังตะเกียกตะกายหาทางขึ้น อยู่ด้านทิศตะวันออกของสระน้ำ แต่ไม่สามารถขึ้นมาได้เนื่องจากระดับน้ำจากพื้นผิวถึงขอบสระสูงมากกว่า 1 เมตร
...
เวลาต่อมานายฉันท์ แป้นเพชร นายอำเภอท่าตะเกียบ ได้สั่งคนงานให้นำรถแบ็กโฮ มาขุดบริเวณขอบสระด้านทิศตะวันตก เพื่อเปิดทางให้ลาดเป็นช่อง จากนั้นช้างตัวใหญ่คาดว่าเป็นจ่าฝูงได้ว่ายน้ำนำหน้าฝูงไป และสามารถขึ้นไปได้ 3 ตัว แม้ตัวใหญ่สุดจะขึ้นได้ แต่ยังวนเวียนอยู่ขอบสระ ช้างที่เหลือพยายามตะเกียกตะกายขึ้น ก็ยังขึ้นไม่ได้ จนช้างทุกตัวที่ลอยคออยู่ในสระโดยเฉพาะช้างตัวเล็กสุด อายุประมาณ 2 เดือน มีท่าทีอ่อนล้าใกล้หมดแรง ช้างจ่าฝูงได้เดินลงสระน้ำ ก่อนที่จะพยายามใช้งวง ใช้หัวดันให้ช้างทั้งหมดขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ ช้างยังคงดำผุด ดำว่าย แบบอ่อนแรง
นายทวี สาธุชาติ อดีตกำนันตำบลท่าตะเกียบ จึงได้สั่งให้คนงานนำรถแบ็กโฮ ไปขุดเปิดทางทางด้านทิศตะวันออกเพิ่มอีก 1 จุด จากนั้นได้ต้อนให้ช้างทั้งหมดว่ายไปขึ้นตรงจุดดังกล่าว ในที่สุดช้างทุกตัว ก็สามารถขึ้นจากสระน้ำไปได้อย่างปลอดภัย ก่อนที่จะเดินลัดเลาะหายเข้าไปในป่าปาล์ม ที่อยู่ถัดไป ท่ามกลางความดีใจของเจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่ไปยืนมุงดูกว่า 100 คน ซึ่งปฏิบัติการช่วยช้างป่าขึ้นจากสระน้ำครั้งนี้ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
นายทวี เปิดเผยว่า สระน้ำดังกล่าวเป็นของนายชัยยา นวลศรี อายุ 54 ปี ซึ่งขุดเอาไว้สำหรับการเพาะปลูกพืชผลการเกษตรทั้งไร่มันไร่สับปะรดไว้นานแล้ว ส่วนช้างฝูงนี้ เป็นส่วนหนึ่งของช้างป่า จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ซึ่งตอนนี้พากันออกมาหากินในพื้นที่ ต.ท่าตะเกียบ และไม่ยอมกลับคืนป่า มีประมาณ กว่า 250 ตัว กลางวันก็จะหลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ป่าปาล์ม ป่ายูคา หรือป่ารกร้าง ซึ่งมีแหล่งน้ำและที่หลบภัยอย่างดี พอตกเย็น ก็จะกระจายกันออกหากิน ฝูงละ 30-40 หรือ 50 ตัวบ้าง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นไร่มัน ไร่สับปะรด สวนปาล์ม หรือนาข้าว สร้างความเสียหายแก่ชาวบ้าน เป็นอย่างมากเป็นเวลากว่า 2-3 ปีแล้ว ชาวบ้านทำไร่ ทำนาก็ขายไม่ได้เพราะถูกช้างมากัดกินจนหมด และไม่มีเงินไปใช้หนี้สินที่กู้ยืมกันมา
"ฝากไปถึงรัฐบาลให้เร่งลงมาแก้ไขปัญหา ทั้งเรื่องความเสียหายที่ควรจะได้รับการชดเชย ขณะนี้เจ้าของสวนบางรายถึงกับย้ายหนีปัญหาช้างป่าไปแล้วหลายราย หากปล่อยทั้งไว้ ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะช้างไม่กลับเข้าป่าแล้วยังขยายพันธุ์ออกลูกมาอีก ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านเองตอนนี้ คงต้องปรับเปลี่ยนอาชีพ จากเลือกสวนไร่นาต่างๆ มาเป็นการเลี้ยงสัตว์ เช่น โค กระบือ เป็นต้น" นายทวีกล่าว
...
ด้าน น.ส.สมจิตร สาธุชาติ กำนัน ต.ท่าตะเกียบ เปิดเผยว่า เป็นปัญหาที่หมักหมมมานานเกือบ 10 ปีแล้ว แรกๆ เริ่มมีช้างเข้ามา 2-5 ตัว แต่ผ่านไปตอนนี้มาเกือบ 300 ตัวแล้ว ชาวบ้านอยู่ยากและลำบากจริงๆ ตอนนี้ ชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อำเภอท่าตะเกียบ ได้ประชุมเพื่อหาแนวทางพร้อมสรุปรายงานไปยังนายอำเภอท่าตะเกียบ โดยขอให้พื้นที่อำเภอท่าตะเกียบ เป็นพื้นที่ปกครองพิเศษเรื่องปัญหาช้างป่า รวมทั้งให้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติช้างป่า เพื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะสามารถใช้งบประมาณเพื่อเยียวยาหรือชดเชยเกษตรกรที่ได้รับความเสียหาย และขอผ่อนปรนการพักชำระหนี้ ของ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เป็นระยะเวลา 5 ปี รวมทั้งเร่งรัดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหามาตรการไล่ต้อนผลักดันช้างให้กลับคืนสู่ป่าเขาอ่างฤาไนอย่างเร่งด่วน.