เผยคำพิพากษาศาลชั้นต้น ตัดสินจำคุก “ลุงวิศวะ” ยิงเด็กวัย 17 ปี ตายที่ครกใหญ่ อ่างศิลา 10 ปี ก่อนใช้เงินสด 6.7 แสนยื่นประกันตัว ระบุเป็นการลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เพราะ ‘ใช้โทสะ-ไม่ยับยั้งชั่งใจ-ปืนบรรจุกระสุน-ขับรถตามปาดหน้า-บีบแตรใส่’’
วันที่ 27 ก.ย.61 ผู้สื่อข่าวรายงานรายละเอียดการอ่านคำพิพากษาของศาลจังหวัดวัดชลบุรี คดี ‘ลุงวิศวะ’ ยิงเด็กวัย 17 ปี ตายที่ครกใหญ่ ต.อ่างศิลา โดยศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 10 ปี
การอ่านคำพิพากษา มีขึ้นที่ห้องพิจารณาที่ 2 ศาลจังหวัดชลบุรี นายสุบิน ชิ้นประเสริฐ รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 นางปวีณา แสงสว่าง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดชลบุรี และนางศศิอนงค์ จงกลนี ปรางทอง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลชั้นต้นในศาลจังหวัดชลบุรี ออกนั่งบัลลังก์ 2 พิจารณาเพื่ออ่านคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2941/2560 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี โจทก์ นางสาวมณีพร ผึ่งผาย โจทก์ร่วม นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ จำเลย
คดีสืบเนื่องมาจากวันที่ 4 กันยายน 2560 พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จากกรณีที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิง นายนวพล หรือปอนด์ ผึ่งผาย อายุ 17 ปี ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 ที่บริเวณสามแยกครกใหญ่ ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี หรือเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า “คดีลุงวิศวะยิงเด็กนักเรียน ม.4” ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกันตัว
...
ศาลวิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง ส่วนปัญหาที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่าเหตุคดีนี้สืบเนื่องมาจากพวกของผู้ตายซึ่งเป็นคนขับรถยนต์ตู้จอดรถที่หน้าร้านขายของฝากกีดขวางทางออกของจำเลยทำให้มีปากเสียงกัน แต่เหตุวิวาทจบลงไปภายหลังจากพวกของผู้ตายขับรถยนต์ตู้และรถยนต์เก๋งออกไปโดยมิได้ท้าทายจำเลยอีก หากจำเลยมีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจจอดรถรอสักพักหนึ่งก่อนเพื่อให้โทสะคลายลงและค่อยขับรถออกไป เหตุคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
แต่จำเลยกลับขับรถตามรถทั้งสองคันนั้นไปในทันที ขับแซงรถยนต์ตู้บีบแตรยาวใส่และขับไปอยู่ด้านหน้า ชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดรถเพื่อให้ชนท้าย ทั้งภริยาจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพรถยนต์เก๋งพวกของผู้ตายได้อีก เช่นนี้ย่อมเป็นการท้าทายผู้ตายกับพวกให้เกิดโทสะและเข้ามาวิวาทกับจำเลย เหตุที่จำเลยมีความฮึกเหิมกล้าท้าทายก็เนื่องจากจำเลยพาอาวุธปืนซึ่งบรรจุลูกกระสุนปืนไว้แล้วติดตัวไปด้วย และเตรียมอาวุธปืนไว้ตั้งแต่ที่หน้าร้านขายของฝาก บ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท เมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์เก๋งมาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยหักหัวรถอย่างกะทันหันในลักษณะปาดหน้าและขัดขวางมิให้รถยนต์เก๋งของพวกผู้ตายขับต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายกับพวกมาตลอดเส้นทาง
จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก่อนที่จะยิงกันจำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่ เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายกับพวกมากันหลายคนก็เริ่มเกิดความขลาดกลัว แต่ยังคงพูดกับผู้ตายกับพวกด้วยน้ำเสียงและคำพูดในลักษณะไว้ท่าทีว่าจะเอาเรื่อง มิใช่คำพูดในทำนองขอโทษการกระทำของตน หรือแสดงให้เห็นว่าไม่อยากมีเรื่องหรือให้เลิกแล้วกันไป ประกอบกับจำเลยเตรียมอาวุธปืนไว้พร้อมยิงผู้ตาย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมาไม่ขาดตอน นับระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเพียง 5 นาทีเศษ และตามพฤติการณ์เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาทกัน จำเลยจะอ้างว่ายิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนไม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ตายกับพวกทำร้ายมารดา ภริยา และหลานที่มากับจำเลย จึงมิอาจอ้างได้ว่าจำเลยยิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของผู้อื่นในพ้นภยันตรายที่ใกล้จะมาถึง
จำเลยจึงมีความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ และฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้อง แต่เนื่องจากจำเลยมิได้มีจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงโจรผู้ร้าย เพียงแต่ขาดสติยับยั้งชั่งใจในการควบคุมตน จำเลยยิงปืนไปเพียง 1 นัด หลังเกิดเหตุมิได้หลบหนีไปไหนและยอมรับกับเจ้าพนักงานตำรวจในทันทีว่าเป็นคนยิงผู้ตาย ประกอบกับผู้ตายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด เห็นสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธปืนฯ ปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 10 ปี และปรับ 2,000 บาท ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของ นางสาวมณีพร ผึ่งผาย มารดาผู้ตาย และให้ถือว่านางสาวมณีพรอยู่ในฐานะผู้ร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
เนื่องจากคดีนี้เป็นที่น่าสนใจของประชาชน นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล อธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 จึงมีคำสั่งมอบหมายให้ นายสุบิน ชิ้นประเสริฐ รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 นั่งพิจารณาและพิพากษาคดีด้วย โดยศาลจังหวัดชลบุรีนัดพร้อมเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของจำเลยเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 นัดตรวจพยานหลักฐานเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 นัดสืบพยานต่อเนื่องในวันที่ 22 ถึง 25 พฤษภาคม 2561 วันที่ 30 พฤษภาคม 2561 วันที่ 20 และ 24 กรกฎาคม 2561 มาเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2561 โดยสืบพยานโจทก์ทั้งหมด 19 ปาก พยานโจทก์ร่วม 1 ปาก และพยานจำเลย 2 ปาก แล้วอ่านคำพิพากษาในวันนี้ นับระยะเวลาตั้งแต่ฟ้องจนถึงวันที่ศาลอ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 1 ปี 23 วัน โดยจำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวตลอดมา อันเป็นการสนองนโยบายของประธานศาลฎีกาที่เร่งรัดให้พิจารณาคดีเสร็จไปโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนและสังคมมีความศรัทธาและเชื่อมั่นในกระบวนการอำนวยความยุติธรรมของศาลยุติธรรม
...
สำหรับกลุ่มเพื่อนของ นายนวพล หรือปอนด์ ผึ่งผาย ผู้เสียชีวิต คือ นายณัฐวุฒิ โสมทัศน์ นายอดิศร แสนศักดิ์ และนายกมล แจ่มวัย ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงานและร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ซึ่ง นายรัฐวุฒิ นายอดิศร แสนศักดิ์ และ นายกมล แจ่มวัย รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาที่รุมทำร้ายลุงสุเทพ ศาลจังหวัดได้มีการพิจารณาจำคุก 1 ปี 6 เดือน แต่เนื่องจากเห็นว่าผู้ต้องหารับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และยังเป็นเยาวชน โทษจำให้รอลงอาญา คุมประพฤติเป็นเวลา 2 ปี และ นายนิพนธ์ ทองสี คนขับรถตู้ถูกฟ้องในข้อหาจอดรถลักษณะกีดขวางการจราจร สั่งปรับ 1,000 บาท
ต่อมาเวลา 11.50 น. นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ หรือ ลุงวิศวะ ได้ใช้เงินสดจำนวน 670,000 บาท ยื่นขอประกันเพื่อต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ โดยศาลพิจารณาแล้วอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว.