วิกฤติราคายางดิ่งเหวไม่กระเตื้อง สวนทางกับทุเรียนที่ราคาพุ่งกระฉูด ชาวสวนเมืองจันท์ ขอเสี่ยงดวง ตัดใจโค่นต้นทิ้ง หันยกแปลงปลูกทุเรียนทดแทน
วันที่ 3 ก.ย.61 จากภาวะราคายางพาราตกต่ำ เข้าสู่ภาวะวิกฤติถึงขั้น ‘ดิ่งเหว’ อีกครั้ง และยังไม่มีทีท่ากระเตื้องขึ้น ซึ่งต่างกับราคาผลผลิตผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียน ที่สวนกระแสในทางกลับกัน ราคาพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว จากการที่ตลาดในต่างประเทศ มีความต้องการทุเรียนสูง โดยเฉพาะกระแสการลงนามซื้อขายทุเรียนกับกลุ่มอาลีบาบา จึงเกิดการแข่งขันในเรื่องเพดานราคาที่ลอยตัวสูงขึ้น ระหว่างผู้ประกอบการส่งออก ทำให้ชาวสวนผลไม้มีรายได้จากผลผลิตทุเรียนในปีนี้เป็นกอบเป็นกำ เป็นสาเหตุให้ในปี 2561 นี้ เกษตรกรใน จ.จันทบุรี ยอมโค่นต้นยางพาราทิ้ง และหันมายกแปลงปลูกทุเรียนแทน

นายรัศมี สิงขรณ์ อายุ 62 ปี หนึ่งในเกษตรกร ต.อ่างคีรี อ.มะขาม จ.จันทบุรี ที่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นที่เกษตรกรรม โค่นต้นยางพาราทิ้ง และหันมายกแปลงปลูกทุเรียนทดแทน บอกว่า จากภาวะที่ราคายางพาราตกต่ำมาตั้งปี 2554 จนถึง ณ วันนี้ ปี 2561 ราคายางดิ่งลงต่ำสุด ซึ่งหักลบกับต้นทุน บวกกับค่าใช้จ่าย เฉลี่ยแล้วแทบจะไม่เห็นรายรับ หรือเท่ากับเสมอตัว ต่างกับการทำสวนผลไม้ ที่ในฤดูกาลผลิตในปีนี้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว โดยเฉพาะรายได้จากการขายทุเรียน ในเนื้อที่ 20 ไร่ มีรายได้กว่า 700,000-800,000 บาท แตกต่างจากเนื้อที่ปลูกยางพารา เนื้อที่กว่า 40 ไร่ มีรายได้เฉลี่ยตก 200,000 บาทต่อปี
...


"เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา จากภาวะราคายางตกต่ำ จึงได้โค่นยางพารา และยกแปลงปลูกทุเรียนไปแล้วประมาณ 10 ไร่ และในปลายปีนี้มีโครงการจะโค่นต้นยางพาราทิ้ง ยกแปลงปลูกทุเรียนเพิ่มอีก 20 ไร่ เพื่อเป็นการปรับสมดุล ควบคุมรายรับ-รายจ่ายในครอบครัวให้อยู่รอด โดยในอีก 5 ปีข้างหน้า ราคาทุเรียนจะประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาด และราคาตกต่ำหรือไม่ก็ยังไม่รู้ เนื่องจากเพื่อนชาวสวนรายอื่นๆ ได้มีการปรับโครงการพื้นที่เกษตรกรรม โค่นยางพาราหันมาปลูกทุเรียนเพิ่มเช่นกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับตัวชาวสวนที่ต้องมีการปรับตัวมองหาลู่ทางผลิตทุเรียนคุณภาพให้ตรงกับความต้องการของตลาดปลายทาง ตลอดจนการรวมกลุ่มเป็นเกษตรแปลงใหญ่ในการสร้างอำนาจต่อรองและกำหนดราคา