รถเทรลเลอร์ 18 ล้อ เสยท้ายรถพ่วงบรรทุกน้ำตาล ขณะขับขึ้นสะพานที่ศรีราชา ผัวเป็นโชเฟอร์เมียนั่งข้าง ถูกอัดก๊อบปี้บาดเจ็บสาหัสติดอยู่ในรถ กู้ภัยงัดออกมาปรากฏว่าเมียเสียชีวิต คาดหลับใน หรือไม่ทันระวัง คิดว่าคันหน้ายังวิ่งด้วยความเร็วปกติ... 


เวลา 04.00 น. วันที่ 3 ก.ย. ร.ต.อ.ชัยรัตน์ กิจงาม รองสารวัตรเวรสถานีตำรวจทางหลวงเขาเขียว อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งเหตุ รถเทรลเลอร์ 18 ล้อ พุ่งชนท้ายรถบรรทุกน้ำตาลทราย มีผู้ติดภายในตัวรถ 2 ราย ที่บริเวณสะพานต่างระดับห้วยท่าไทร ถ.สาย 7 ตอนที่ 2 ขาเข้าพัทยา ม.5 ต.บางพระ อ.ศรีราชา หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยเพี้ยวเยี้ยงไท้ ศรีราชา 

ที่เกิดเหตุ พบรถเทรลเลอร์ 18 ล้อ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว หมายเลขทะเบียนส่วนหัว 61-8587 กทม. ส่วนหาง 61-8612 กทม. พุ่งชนอัดติดท้ายกับรถพ่วง 18 ล้อ บรรทุกสินค้าเป็นน้ำตาลทราย ยี่ห้อฮีซูซุ สีขาว หมายเลขทะเบียนส่วนหัว 71-1324 สระบุรี ส่วนหาง 70-2788 สระบุรี สภาพด้านหน้ารถเทรลเลอร์ 18 ล้อ พังยับ

ในที่นั่งคนขับและผู้โดยสาร พบ นายอนุวัฒน์ คำปรีดา อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 95/1 ม.2 ต.โนนสะอาด อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู คนขับ ใกล้กันพบ น.ส.พัชรินทร์ อ่ำปทุม 23 ปี ภรรยา ทั้งคู่อาการสาหัส หมดสติ ร่างถูกอัดก๊อบปี้ติดกับตัวรถ ที่เท้ามีบาดแผลขนาดใหญ่ หน้าอกได้รับแรงกระแทก กู้ภัยต้องใช้เครื่องตัดถ่างเข้าช่วยเหลือนานเกือบ 20 นาที จึงสามารถนำตัวส่ง รพ.สมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เพื่อให้แพทย์ทำการรักษาอย่างเร่งด่วน แต่ น.ส.พัชรินทร์ ได้เสียชีวิต ซึ่งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ต้องปิดถนนเพื่อทำการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และมีกระสอบน้ำตาลทรายท้ายรถพ่วงตกเต็มพื้นถนน ส่งผลให้การจราจรติดขัดกว่า 1 กิโลเมตร ก่อนจะเคลื่อนย้ายรถออกไป

...

จากการสอบสวน นายอุทร นิละครบุรี อายุ 61 ปี คนขับรถพ่วง 18 ล้อ บรรทุกน้ำตาลทราย ให้การว่าตนบรรทุกน้ำตาลมาจาก จ.ขอนแก่น เพื่อจะนำมาส่งที่ท่าเรือแหลมฉบัง ถึงที่เกิดเหตุในขณะกำลังเร่งเครื่องยนต์ เพื่อจะขับขึ้นสะพานต่างระดับ แต่เนื่องจากรถพ่วงตนมีน้ำหนักมาก จึงทำให้รถขึ้นสะพานช้า แล้วก็ได้ยินเสียงดังสนั่นมาจากท้ายรถ จึงลงไปดูก็พบว่ารถเทรลเลอร์ 18 ล้อ ของนายอนุวัฒน์ ที่รับสินค้ามาส่งที่ท่าเรือแหลมฉบังเช่นกัน พุ่งมาชนท้ายรถพ่วงตนอย่างจังโดยที่ไม่มีการเบรก ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ดังกล่าว

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าคนขับอาจหลับใน หรืออาจคิดว่ารถคันหน้ายังวิ่งอยู่ด้วยความเร็วปกติ จึงไม่ได้เบรกและพุ่งชนท้ายอย่างแรง ส่วนสาเหตุที่แท้จริงอยู่ระหว่างการสอบสวน.