แม่น้องบีมแฉเล่ห์ทนายความ หลังรู้ว่าถูกแจ้งความดำเนินคดี หว่านล้อมให้ถอนแจ้งความ นำเงิน 1 แสนบาท มาล่อและจะจ่ายส่วนที่เหลือให้อีก 3 ล้านบาท แต่หลังถอนแจ้งความกลับหายเงียบไม่ได้จ่ายเงินให้แม้แต่บาทเดียว ขณะที่ตำรวจยันพนักงานสอบสวนและคู่กรณีพยายามทักท้วงไม่ให้ถอนแจ้งความแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ด้านประธานฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย เนติบัณฑิตยสภา ยันคดีฉ้อโกงยุติไปแล้วแต่คดีปลอมแปลงเอกสารยังอยู่ สามารถดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา ส่วนพนักงานอัยการยันมีความเห็นสั่งฟ้องทนายความฉาว เตรียมส่งเรื่องให้ ผบ.ตร.พิจารณาทำความเห็น หากแย้งกับพนักงานอัยการต้องให้อัยการสูงสุดชี้ขาด
หลายฝ่ายเร่งหาทางช่วยเหลือ ด.ญ.ภัทรดา หรือน้องบีม แก้วผ่อง อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนศรีสังวาล พิการขาขาด 2 ข้าง ต้องนั่งวีลแชร์ตลอดเวลา เนื่องจากประสบอุบัติเหตุรถยนต์ที่น้องบีมกับครอบครัวโดยสารมาชนกับรถพ่วง 18 ล้อ ในพื้นที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2549 เป็นเหตุให้พ่อน้องบีมเสียชีวิต น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ แม่ บาดเจ็บสาหัส ส่วนน้องบีมต้องถูกตัดขากลายเป็นคนพิการตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ซึ่งทางบริษัทเจ้าของรถพ่วงคู่กรณีได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ 5 ล้านบาท โดยจ่ายให้กับนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความอาสาที่รับว่าความ แต่นายพิสิษฐ์โกงเงินไปจนมีการแจ้งความไว้ที่ สน.บางยี่ขัน ซึ่งตำรวจระบุว่ามีการถอนแจ้งความไปแล้ว ทำให้เป็นอุปสรรคในการดำเนินคดีกับทนายความคนดังกล่าว
ความคืบหน้าการหาแนวทางช่วยเหลือน้องบีม เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 1 ก.ค. น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ อายุ 44 ปี แม่ของน้องบีม เปิดเผยถึงสาเหตุที่ถอนแจ้งความดำเนินคดีกับนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความ ว่า ก่อนหน้านั้นนายพิสิษฐ์แจ้งว่าทางคู่กรณีชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 1 ล้านบาท โดยจะแบ่งจ่ายให้งวดละ 4 หมื่นบาท แต่นายพิสิษฐ์ โอนเงินมาให้เพียง 7 งวด เป็นเงินรวม 280,000 บาทแล้วเงียบหายไป ติดต่อไม่ได้ ตนติดต่อไปทางบริษัทของคู่กรณีทราบว่าคู่กรณีได้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 5 ล้านบาท โดยจ่ายเช็คล่วงหน้าให้กับทนายความทั้งหมด 31 ฉบับ ยอดเงินตั้งแต่ 100,000-250,000 บาท ถึงรู้ว่าถูกทนายความโกงเงิน ซึ่งทางคู่กรณีแนะนำให้เข้าแจ้งความที่ สน.บางยี่ขัน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการส่งมอบเช็คดังกล่าว ตนจึงเข้าแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีกับนายพิสิษฐ์ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2558
...
แม่น้องบีมกล่าวต่อว่า ต่อมาทนายความทราบว่าตนเข้าแจ้งความดำเนินคดี ติดต่อพูดจาหว่านล้อมเกลี้ยกล่อมขอให้ตนถอนแจ้งความ โดยอ้างว่าถ้ายอมถอนแจ้งความจะให้เงิน 1 แสนบาททันที ส่วนที่เหลือจะใช้คืนอีก 3 ล้านบาท โดยจะผ่อนชำระงวดละ 3 หมื่นบาท จนกว่าจะครบจำนวน ตนหลงเชื่อไปถอนแจ้งความเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2558 แต่หลังจากตนถอนแจ้งความนายพิสิษฐ์ก็เงียบหายไปและไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย แม้แต่เงิน 1 แสนบาทที่บอกว่าจะจ่ายให้ภายใน 3 วันหลัง ถอนแจ้งความก็ไม่ได้จ่ายให้
ด้าน พ.ต.อ.อรรถวุฒิ นาวาตโสภณ ผกก.สน.บางยี่ขัน กล่าวว่า คดีดังกล่าวทางน้องบีม ผู้เสียหาย ได้มีการถอนแจ้งความไปตั้งแต่ปี 58 พนักงานสอบสวนและคู่กรณีได้มีการทักท้วงหลายครั้ง แต่ทางผู้เสียหายกลับเชื่อคำพูดทนายว่า หากถูกแจ้งความดำเนินคดี จะหาเงินมาคืนไม่ได้ แถมยังบอกว่า หากถอนแจ้งความจะให้เงิน 1 ล้านบาท แต่พอฝ่ายน้องบีมถอนแจ้งความ ทนายกลับให้เงินแค่ 1 แสนบาท น้องบีมได้เงินจากทนายทั้งหมดแค่ 285,000 บาท จากยอดเงิน 5 ล้านบาท ตอนนี้พนักงานสอบสวนก็ทำได้แค่เพียงแนะนำให้ไปร้องสภาทนายความเพื่อฟ้องแพ่งเรียกเงินคืนต่อไป แต่จะทำได้มากน้อยแค่ไหนก็ไม่แน่ใจ เพราะคดีแพ่งมีอายุความ 1 ปี แต่ก็หวังว่าทนายคู่กรณีจะเข้ามารับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเป็นการกระทำผิดทางวิชาชีพที่สังคมรับไม่ได้
ส่วนว่าที่ พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง ประธานฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย เนติบัณฑิตยสภาและอุปนายกสภาทนายความ กล่าวว่า ได้เรียกสำนวนที่นางพรทิพย์ กับน้องบีม บุตรสาวพิการ มาร้องต่อเนติบัณฑิตยสภา เพื่อขอให้แต่งทนายเป็นโจทก์ร่วม ในคดีอาญากับฟ้องทางแพ่ง กรณีที่ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับทนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ แต่ฝ่ายนางพรทิพย์ไม่ดำเนินการต่อไปนานสองปีแล้ว จากการตรวจสอบของเนติบัณฑิตยสภาพบว่านางพรทิพย์กับบุตรชนะคดีจริง แต่งตั้งทนายความคนนี้จริง และทนายความรับเช็คมาจริงนับสิบๆฉบับ ในส่วนโรงพัก ตนติดตามข่าวทราบว่า แม้จะมีการทำสัญญารับสภาพหนี้ไว้สามล้านบาท ทำให้คดีฉ้อโกงยุติไปแล้ว แต่คดีปลอมแปลงเอกสารยังอยู่ จึงต้องรอผลคดีอาญาด้วย ในวันพรุ่งนี้ (2 ก.ค.) นางพรทิพย์จะไปพบผู้บริหารกระทรวงยุติธรรมเพื่อขอให้แต่งทนายความของเนติบัณฑิตยสภา และให้ดำเนินคดีต่อไป นอกจากนี้ ทราบว่าจะไปร้องสภาทนายความ ขอให้ดำเนินคดีมรรยาททนายกับทนายความคนนี้ด้วย ดังนั้น ในส่วนคดีอาญาและแพ่งจึงต้องดำเนินคดีต่อไปคดียังไม่ยุติ ว่าที่ พ.ต.สมบัติกล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบจากฝ่ายมรรยาททนายความ พบว่านายพิสิษฐ์เคยถูกสภาทนายความลงโทษพักใบอนุญาตมาก่อนแต่พ้นโทษแล้ว
บ่ายวันเดียวกัน นายเนิน รอดกำพล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 6 กล่าวถึงคดีที่นางพรทิพย์ จันทรัตน์ มารดาน้องบีมเเจ้งความเอาผิดกับทนายคนดังกล่าว ในข้อหาฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร ว่าคดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ให้เหตุผลว่า ทางผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ เเต่ทางอัยการมองเเล้วว่าพฤติการณ์ของผู้ต้องหาไม่ดี มีความเห็นสั่งฟ้องในข้อหาปลอมแปลงเอกสาร และใช้เอกสารปลอม ฉ้อโกง และยักยอกทรัพย์ ส่วนรายละเอียดที่ชัดเจนต้องขอตรวจดูอีกครั้ง บางข้อหาเช่นฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่เข้าข่ายความผิดดังกล่าว เป็นแค่การฉ้อโกงธรรมดาจึงมีคำสั่งไม่ฟ้อง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนส่งความเห็นไปยัง ผบ.ตร.เพื่อทำความเห็น หาก ผบ.ตร.มีความเห็นแย้งกับพนักงานอัยการ ต้องส่งไปให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาด