กรมชลประทานเตือน "เขื่อนพระราม 6" เพิ่มระบายน้ำ 562 ลบ.ม./วินาที ชาวอยุธยา "ท่าเรือ-ท่าหลวง" ริมน้ำเฝ้าระวังใกล้ชิด ส่วน "เขื่อนเจ้าพระยา" เร่งระบาย 2,500 ลบ.ม./วินาที พื้นที่ลุ่มต่ำ "ชัยนาท" อ่วม

วันนี้ 6 ต.ค. 68 กรมชลประทาน ได้ออกประกาศอัปเดตสถานการณ์น้ำ ที่เขื่อนพระราม 6 อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยระบุว่า เขื่อนฯ ได้เพิ่มอัตราการระบายน้ำอยู่ที่ 562 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อควบคุมระดับน้ำเหนือเขื่อนให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำให้ได้มากที่สุด

การเพิ่มอัตราการระบายน้ำครั้งนี้ส่งผลให้พื้นที่บริเวณท้ายเขื่อนมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอท่าเรือ คือที่ ชุมชนวัดสะตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ กับ ตลาดและเทศบาลตำบลท่าเรือ อำเภอท่าเรือ

ทั้งนี้ กรมชลประทาน จะดำเนินการบริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อนพระราม 6 ควบคู่ไปกับการระบายน้ำเข้าสู่ คลองระพีพัฒน์ เพื่อช่วยควบคุมปริมาณน้ำโดยรวม

ขณะเดียวกันขอให้พี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงตามแนวริมแม่น้ำ โดยเฉพาะในเขตอำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างต่อเนื่อง หากพบว่าปริมาณน้ำทางตอนบนยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำให้มากขึ้น ทางหน่วยงานจะแจ้งเตือนให้ทราบเป็นระยะต่อไป

...


"เขื่อนเจ้าพระยา" เร่งระบาย 2,500 ลบ.ม./วินาที พื้นที่ลุ่มต่ำ "ชัยนาท" อ่วม!

ขณะที่สถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาวันนี้ ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดปริมาณน้ำที่ สถานีวัดน้ำ C.2 อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มีน้ำไหลผ่านจุดวัดสูงถึง 2,748 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

ส่วนเขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ยังคงรักษาระดับการระบายน้ำอยู่ที่ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 แล้ว โดยปัจจุบันระดับน้ำเหนือเขื่อนอยู่ที่ 16.10 เมตร/รทก. ท้ายเขื่อนทรงตัวที่ 15.94 เมตร/รทก. ห่างจากตลิ่งเพียง 40 เซนติเมตรเท่านั้น

ล่าสุด พื้นที่ลุ่มต่ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาใน อำเภอสรรพยา ได้รับผลกระทบอย่างหนัก รวม 5 ตำบล 19 หมู่บ้าน มีผู้ประสบภัยสะสมแล้ว 384 ครัวเรือน รวม 959 คน โดยเฉพาะที่ ตำบลโพนางดำออก หลังจากเกิดเหตุการณ์คันดินป้องกันน้ำท่วมบริเวณหน้าวัดสมอแตกเมื่อวันก่อน (5 ต.ค. 68) ทำให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมชุมชนอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ 10 เซนติเมตร จนถึง 130 เซนติเมตร แล้วแต่ระดับพื้นบ้าน ทำให้ชาวบ้านกว่า 400 ชีวิต รวมกว่า 100 ครัวเรือน ต้องเร่งขนข้าวของอพยพขึ้นไปอาศัยหลับนอนบนถนนริมคันคลองมหาราชอย่างทุลักทุเล และคาดว่าจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนถนนต่อจากนี้ไปยาวนานนับเดือน 


นางประคอง อินทร์สอน อายุ 60 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลโพนางดำออก ต้องนำเรือและรถกระบะยกสูงมา เข้าพื้นที่สวนกล้วยน้ำว้า แล้วลอยคอ ลากเรือเข้าไปตัดเครือกล้วย บรรทุกใส่เรือออกมา โดยกล้วยที่ตัดวันนี้ก็ยังเป็นกล้วยที่ยังไม่แก่จัด แต่จำเป็นต้องตัดก่อนที่จะเน่าเสียคาต้น ส่วนกล้วยที่ตัด ก็จะนำไปกินเอง และแจกให้กับชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม นำไปกินประทังชีวิตช่วงนี้