ศาลอุทธรณ์พิพากษา คดี 2 นรต. โดดร่มไม่กาง 3 ปี 4 เดือน พ่อผู้เสียชีวิต รับมีความเห็นต่างในบางประเด็น หลังจำเลยได้รับโทษเบาลง เผยเตรียมยื่นฎีกาให้มีโทษสูงสุด 10 ปี

จากเหตุการณ์การฝึกหลักสูตรพลร่มนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่นที่ 69 ที่ค่ายนเรศวร จ.เพชรบุรี แล้วเกิดอุบัติเหตุร่มไม่กาง ส่งผลให้ นรต.ชยากร พุทธชัยยงค์ หรือน้องโยโย่ และ นรต.ณัฐวุฒิ ติรสุวรรณสุข หรือน้องฟิว เสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 57

ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 จ.สมุทรสงคราม ได้ยกคำร้องคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 7 โจทก์ และนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ นายสาธร พุทธชัยยงค์ บิดาของนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) ชยากร พุทธชัยยงค์ หรือ น้องโยโย่ เป็นโจทก์ร่วม 

ล่าสุดวันนี้ (25 ส.ค. 68) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 จ.สมุทรสงคราม ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดี หมายเลขดำที่ อท 17/2563 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 7 โจทก์ และนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ นายสาธร พุทธชัยยงค์ บิดาของนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) ชยากร พุทธชัยยงค์ หรือน้องโยโย่ เป็นโจทก์ร่วม กับร้อยเอกกณพ อยู่สุข จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 9 ราย 

ประกอบด้วย นายสมชาย อำภา จำเลยที่ 2 จ่าเอกกีรดิต สุริโย จำเลยที่ 3 นายรัชเดช เถาว์เพ็ง จำเลยที่ 4 นายวัชรพงษ์ วงษ์สุวรรณ จำเลยที่ 5 พ.ต.อ.อโนทัย ศาสตร์สง่า จำเลยที่ 6 พ.ต.อ.ประพงษ์ ภูฮง จำเลยที่ 7 ร.ต.อ.พิพัฒน์ เยาวเรศ จำเลยที่ 8 และนายสุพร ธนบดี จำเลยที่ 9 ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย รับอันตรายสาหัส ป.อาญา มาตรา 83, 86, 157, 291, 300 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 3, 11

...

โดยเมื่อเวลา 08.45 น. นายสาธร และ นายอนันต์ชัย ทนายความ ได้เดินทางมาที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 จ.สมุทรสงคราม ด้วยรถเบนซ์สีขาว ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนจะเดินเข้าไปในศาลเพื่อฟังคำพิพากษา โดยนายอนันต์ชัย กล่าวว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 31 มี.ค.2557 สืบเนื่องจากสลิงที่นำมาติดตั้งบนเครื่องบินไม่ใช่ของแท้ที่ใช้กับเครื่องบินลำที่เกิดเหตุ ก่อนกระโดดร่มกองบินตำรวจ ได้ตรวจสอบด้วยการใช้ผ้ารูดไปที่สลิง พบว่าผ้าขาด แล้วพบว่าสลิงเกิดความเสียหายจะต้องเปลี่ยน ขณะที่กองบินตำรวจมีสลิงของแท้จากประเทศสเปน จำนวน 2 เส้นๆ ละ 98,000 บาท และเก็บไว้ในสต๊อกของกองบินตำรวจ ซึ่งสามารถนำติดตั้งบนเครื่องบิน แต่กองบินตำรวจไม่ได้เอาของแท้มาเปลี่ยนบนเครื่องบินลำที่เกิดเหตุ แต่บริษัทอุตสาหกรรมการบินกลับให้เจ้าหน้าที่ไปหาสลิงตามท้องตลาดมาใส่ เป็นของปลอมเส้นละ 4,800 บาท มาติดตั้งแทน จึงทำให้ไม่มีมาตรฐาน รวมทั้งการซ่อมไม่มีมาตรฐาน โดยดัดแปลงนำสลิงดังกล่าวมาตัดและเจียให้ปลายแหลมไปใส่กับหัวยึดเดิม แล้วนำไปติดตั้งบนเครื่องบิน 

เมื่อนักเรียนนายร้อยตำรวจกระโดดร่มลงมาปกติ สลิงจะดึงฝาร่มเปิด แต่เมื่อสลิงเป็นของปลอมไม่ได้มาตรฐาน ทำให้สลิงหลุดมาทั้งพวง เป็นสาเหตุให้ร่มไม่กาง นักเรียนนายร้อยตำรวจตกลงมาเสียชีวิต จากกรณีดังกล่าวเป็นสาเหตุทำให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นแน่นอน คดีนี้ส่งมาที่ศาลทุจริตและประพฤติมิชอบ จึงส่อให้เห็นแล้วว่าทุจริตและประพฤติมิชอบ จะด้วยประมาทเลินเล่อหรือด้อยคุณภาพในการซ่อม หรือมีการทุจริต ต้องรอฟังคำตัดสิน แต่ปัญหาเกิดจากสลิงนี้แน่นอน

ต่อมาเมื่อเวลา 12.06 น. นายสาธร และนายอนันต์ชัย ทนายความ ได้เดินออกจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ก่อนจะมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยนายอนันต์ชัย กล่าวว่า หลังจากศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกคนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา หลังจากนั้นมีการยื่นอุทธรณ์ ต่อมา นายวัชรพงษ์ วงษ์สุวรรณ จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้จัดซื้อลวดสลิงกับเอกชน และ พ.ต.อ.ประพงษ์ ภูฮง จำเลยที่ 7 ได้เสียชีวิต ศาลจึงจำหน่ายคดี เหลือพิจารณาจำเลยที่ 1, 2, 3, 4, 6, 8 และที่ 9 ซึ่งวันนี้ ศาลฯได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ซึ่งถือว่านานมาก 

โดยศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาว่าการกระทำผิดของจำเลยที่ 2, 3, 4, 6, 8 และที่ 9 เป็นการกระทำต่อความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักสุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 โดยจำเลยที่ 2, 3, 4 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกคนละ 5 ปี จำเลยที่ 8 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 5 ปี, จำเลยที่ 9 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 5 ปี การไต่สวนของจำเลยที่ 2, 3, 4, 8 และ 9 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุก คนละ 3 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 6 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 ปี และจำเลยที่ 1 ยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีส่วนร่วมในการประมาท


นายสาธร กล่าวภายหลังศาลตัดสินว่า ตนขอแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเกี่ยวกับคดี ซึ่งตนเคารพในคำพิพากษาของศาลอย่างจริงใจ ในศาลชั้นต้นจำคุกคนละ 4 ปี เท่ากัน แต่ศาลอุทธรณ์ มีการเพิ่มโทษเป็น 5 ปี แต่มีเหตุบรรเทาโทษ เหลือ 3 ปี 4 เดือน ซึ่งถ้าเทียบกับศาลชั้นต้น ถือว่าโทษเบาลง ซึ่งด้วยเคารพในคำพิพากษาของศาลแต่ตนเห็นต่าง คือ ในการสืบพยาน 10 นัด 10 วัน 50 วัน มีนายอนันต์ชัย เพียงผู้เดียวตนเข้าร่วมฟังการสืบพยานทุกนัดทุกคน ตนยังคาใจว่าทนายอนันต์ชัยได้สอบถามจำเลยว่า ใครเป็นผู้ตัดสลิงเพราะยาวไป และเจียสลิงเพราะใหญ่ไป รวมทั้งถามว่ามีสลิงของแท้อยู่ทำไมไม่มีใครนำมาติด แต่ทั้ง 2 คำถามจำเลยทุกปาก เงียบไม่ตอบคำถามทั้ง 2 คำถาม ใช้วิธีดื้อเงียบ จนศาลท่านบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวศาลมีดุลพินิจเอง ซึ่งจากนี้ไปจะยื่นฎีกาให้มีโทษสูงสุด 10 ปี

...

ส่วนที่ 2 ต้องขอบคุณทนายอนันต์ชัยที่ทำคดีนี้มาคนเดียวทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา 10 นัด 10 วัน พยาน 50 ปาก ทนายอนันต์ชัย เป็นทนายฝ่ายโจทก์คนเดียว ที่สืบพยานทั้งหมด ตนจึงเรียนด้วยความตื้นตันใจว่า หลังจากคดีแพ่งจบแล้วศาลตัดสินให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและการบินไทยร่วมกันเยียวยาเป็นเงิน 7,400,000 บาทเศษ ทนายอนันต์ชัย ไม่ขอรับค่าวิชาชีพใดๆ แม้แต่บาทเดียว บอกเพียงว่าขอทำคดีนี้เหมือนลูกชายตน เป็นลูกของทนายอนันต์ชัยเอง จึงขอบคุณทนายอนันต์ชัยอย่างเป็นทางการ

จากนั้น นายสาธร ได้มอบพวงมาลัยดอกมะลิและกระเช้าผลไม้ ก่อนจะกราบที่อกทนายอนันต์ชัยด้วยน้ำตาคลอเบ้าตา ก่อนที่ทั้ง 2 คนจะเดินทางกลับ