“อดีตพระมหาทิวากร" สึกเงียบ ส่งเงิน 3 หมื่นคืนวัด อ้างสีกายืมเพราะป่วยหนัก ก่อนจะทำการสึกให้ เจ้าตัวยืนยัน “ไม่ปาราชิก" จึงได้ทำพิธีลาสิกขาตามขั้นตอน

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 เวลา 08.00 น. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่อุทยานหลวงพ่อโต วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อสอบถามพระราชวัชรสาครคณี เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร และเจ้าอาวาสวัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร เกี่ยวกับกรณีที่อดีตพระมหาทิวากร ดีไพร อดีตเจ้าอาวาสวัดใหญ่จอมปราสาท ได้เข้าขอลาสิกขา

โดยอดีตพระมหาทิวากร ได้ขอลาสิกขาแบบเงียบๆ เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. วานนี้  โดยมาพร้อมด้วยลูกศิษย์วัด 1 คน และพระสงฆ์อีก 1 รูป เพื่อพบพระราชวัชรสาครคณี โดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า และแจ้งความประสงค์ขอลาสิกขา เพื่อความสบายใจของคณะสงฆ์ในจังหวัดสมุทรสาคร

พระราชวัชรสาครคณีได้สอบถามอดีตพระมหาทิวากร ว่า “ปาราชิกหรือไม่” ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่า “ไม่ปาราชิก” จึงได้ทำพิธีลาสิกขาให้ตามขั้นตอน


จากนั้นอดีตพระมหาทิวากร ได้นำเอกสารทางการเงินเกี่ยวกับการรับและใช้จ่ายเงินของวัดตั้งแต่ปี 2564-2567 เกือบ 10 แผ่น เช่น เงินกฐินและเงินบริจาค รวมถึงภาพการก่อสร้างและปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆ ในวัดกว่า 20 แผ่น มามอบให้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ยังนำเงินประมาณ 30,000 กว่าบาทใส่ซองมามอบให้พระราชวัชรสาครคณี เพื่อส่งคืนเจ้าคณะตำบลและผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดใหญ่จอมปราสาทต่อไป โดยเงินจำนวนนี้เป็นส่วนที่เหลือจากเงินบริจาค 70,000 บาท ที่นำติดตัวไปด้วย และนำไปจ่ายค่าไฟฟ้ากว่า 30,000 บาท ส่วนที่เหลือก็นำมาให้อาตมาเพื่อส่งต่อผู้ที่ต้องดูแลวัดตามลำดับขั้นตอนต่อไป

...

ส่วนเรื่องที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับ “สีกากอล์ฟ” ได้อย่างไรนั้น อดีตพระมหาทิวากร เล่าว่า สีกากอล์ฟเคยมาทำบุญที่วัด และต่อมาได้โทรศัพท์มายืมเงินโดยอ้างว่าป่วยเข้าโรงพยาบาลและไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาจึงโอนให้ไป จากนั้นมีการยืมเงินกันเรื่อยๆ ครั้งละไม่มากนักหลักหมื่นบาท โดยมีการโอนคืนเป็นบางครั้ง 

ทั้งนี้ พระราชวัชรสาครคณี ระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องตรวจสอบและสอบสวนต่อไป เนื่องจากอดีตพระมหาทิวากร ได้ลาสิกขาแล้ว จึงไม่เกี่ยวข้องกับกิจการสงฆ์อีกต่อไป ส่วนจะมีความผิดหรือไม่ และจะจริงเท็จแค่ไหนจากข้อมูลที่เขาเล่ามานั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น