ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา ยืนยัน ตำรวจสายตรวจทำตามยุทธวิธี ไล่ตาม จยย. ท่อดัง - ต้องสงสัย ขี่หลบหนี ก่อนเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าเสียชีวิต

จากกรณี ผู้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์คลิปจากกล้องวงจรปิด บันทึกเหตุการณ์ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขี่รถสายตรวจไล่ตามรถ จยย. คันหนึ่ง ก่อนจะมาเกิดอุบัติเหตุหลุดโค้ง เสียหลักชนเสาไฟฟ้า ซึ่งคนขี่ก็ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา พร้อมกับตั้งคำถามถึงการทำงานของตำรวจว่าเกินกว่าเหตุหรือไม่ ซึ่งหลังจากเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ต่างก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบ น.ส.คณิชคุณ สุคันธพฤกษ์ อายุ 34 ปี ภรรยาของนายณัฐพงศ์ สุคันธพฤกษ์ อายุ 33 ปี ผู้เสียชีวิต ซึ่งได้นำคลิปกล้องวงจรมามอบให้ผู้สื่อข่าว โดยสามารถบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ขณะที่รถจักรยานยนต์สามีขับเข้ามาตามถนนเทศบาลอโยธยา ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นก็มีกล้องอีกมุม ซึ่งจับภาพรถจักรยานยนต์ของสามีขับนำหน้า โดยมีรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ 1 คัน ขับตามมาด้วยความเร็ว ก่อนที่รถจักรยานยนต์ของสามีจะเกิดเสียหลักไถลเข้าไปชนกับเสาไฟฟ้าจนทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

นางสาวคณิชคุณ เผยทั้งน้ำตาว่า ช่วงเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาประมาณ 01.50 น. ตอนนั้นตนเองนอนอยู่ในบ้านไม่รู้เรื่องอะไร แต่สามีบอกจะนำรถจักรยานยนต์ออกไปเติมน้ำมัน จนกระทั่งมีคนขับรถจักรยานยนต์มาตามที่บ้านว่าสามีตนเองถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจไล่จับ แล้วขับรถหลบหนีจนหลุดโค้งชนเสาไฟฟ้า อาการสาหัส

ตนเองจึงรีบไปดู พบว่าสามีนอนอยู่ในลักษณะคว่ำหน้า มีเลือดไหลออกมาจากศีรษะจำนวนมาก ยังพอจะรู้สึกตัว แต่ก็อาการสาหัส เจ้าหน้าที่กู้ภัยก็รีบหาตัวส่งโรงพยาบาล แต่สามีอาการสาหัสเพราะกะโหลกศีรษะแตกซี่โครงหักหลายท่อน ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตที่โรงพยาบาลราชธานี ซึ่งตอนที่เกิดเหตุนั้น ตนเองก็ไม่เห็นว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนไหนเข้ามาดู หรือพูดอะไร มีเพียงพนักงานสอบสวนมาตรวจสอบที่เกิดเหตุจากนั้นถ่ายรูป และก็ยกรถจักรยานยนต์ของสามีขึ้นท้ายรถตำรวจไป

...

จนมีพลเมืองดีเข้ามาบอกว่า สามีของตนเองถูกตำรวจสายตรวจขับรถจักรยานยนต์ตาม และหนีมาจนมาเกิดอุบัติเหตุภายหลังชนเสาไฟเสียชีวิต ยอมรับว่ารถจักรยานยนต์ของสามีนั้นท่อดัง จึงไม่ค่อยได้นำออกไปขับตอนกลางวัน แต่สามีต้องการจะนำรถจักรยานยนต์ไปเติมน้ำมัน จึงขับออกไปแล้วคงไปเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจไล่ตาม จึงจะขับรถจักรยานยนต์ขับเข้ามาในซอยบ้าน แล้วก็มาประสบอุบัติเหตุชนเสาไฟฟ้าเสียชีวิต ซึ่งเบื้องต้นตนเองมองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ยืนยันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

ด้าน นายเสฏฐวุฒิ พลเมืองดี เผยว่า ตนเองนั้นนั่งอยู่ที่ร้านบริเวณเจดีย์สามปลื้ม จากนั้นเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจได้ขับตามรถจักรยานยนต์ท่อดัง มาตั้งแต่สี่แยกวัดพระญาติ และไล่ตามมาถนนโรจนะ ขาเข้า โดยมีรถท่อดังขับกันมาประมาณสามคัน แต่อีกสองคนนั้นเลี้ยวไปทางวัดใหญ่ชัยมงคล แต่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียชีวิตได้เลี้ยวมาทางถนนเทศบาลอโยธยา

พักนึงตนเองก็ได้ยินเสียงรถเจ้าหน้าที่กู้ภัยวิ่งมา นึกในใจแล้วว่าต้องเกิดอุบัติเหตุ จึงรีบมาจุดเกิดเหตุแล้วนำกล้องมือถือมาถ่าย ซึ่งตนเองยังพูดจุดที่เกิดเหตุเลยว่า เป็นอย่างไรทำเกินกว่าเหตุไปไหมเนี่ย ถ้าเกิดมีคนเสียชีวิตขึ้นมาจะรับผิดชอบ สุดท้ายก็เกิดเรื่องจริงๆ ตนเองมองว่าเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุไป เข้าใจว่ารถจักรยานยนต์ท่อดังมีความผิด แต่มันมีวิธีอื่น ซึ่งน่าจะดีกว่านี้หากตนเองติดกล้องหน้า ซึ่งรถคันดังกล่าวก็ติดหมายเลขทะเบียนชัดเจนก็ออกหมายเรียก หรือหมายจับไปเลย หากมาขับกลัวรถจักรยานยนต์แบบนี้แล้วมีผู้เสียชีวิตใครจะรับผิดชอบ หรือตั้งด่านเอาจริงเอาจังไปเลย

ด้าน พ.ต.อ. อาทิตย์ ซิ้มเจริญ ผกก.สถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าเมื่อคืนนี้ สายตรวจ 2 คน ออกปฏิบัติหน้าที่โดยใช้รถจักรยานยนต์ของสายตรวจ สวมเครื่องแบบ และมีการติดกล้องที่หน้าอก หรือบอดี้แคม แต่คนขี่ไม่ได้ติดเนื่องจากกล้องเสียอยู่ระหว่างรอตัวใหม่ มีเพียงแค่ตำรวจที่ซ้อนท้าย

ระหว่างออกตรวจมาถึงสี่แยกพระญาติ พบรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย มาจอดตรงสี่แยก 3 คัน ก่อนที่รถจักรยานยนต์กลุ่มนี้จะหันหัวรถกลับและขี่ย้อนศรหลบหนี ตำรวจสายตรวจไปทันที ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมต้องสงสัย ประกอบกับรถจักรยานยนต์เป็นท่อเสียงดัง ตำรวจสายตรวจจึงขี่ไล่ติดตาม มีการเว้นระยะห่าง และไม่ได้ประชิดตัว

โดยชายต้องสงสัยขี่รถย้อนศรหลบหนีไปเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุ ผู้เสียชีวิตขี่รถจักรยานยนต์เข้าโค้งด้วยความเร็ว จนกระทั่งเสียหลักพุ่งชนกับทางเท้า ร่างกระเด็น ตำรวจสายตรวจที่ตามมาจึงลงไปตรวจสอบ พร้อมทั้งเรียกเจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งนำส่งโรงพยาบาล แต่สุดท้ายเสียชีวิต

ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สายตรวจทำตามหน้าที่และตามยุทธวิธี ไม่ได้ใช้ความรุนแรง แต่เนื่องจากพฤติกรรมต้องสงสัย ซึ่งก็เป็นการทำงานของตำรวจอยู่แล้ว หากพบบุคคลต้องสงสัย จำเป็นต้องตรวจสอบ และพร้อมให้ข้อมูลกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต หากติดใจในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ ยืนยันว่าไม่ได้เข้าข้างลูกน้อง แต่ตรวจสอบแล้วทำตามยุทธวิธีทุกอย่าง ซึ่งก็มีกล้องติดหน้าอกของตำรวจสายตรวจที่ซ้อนท้ายเป็นหลักฐาน

ขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบประวัติผู้เสียชีวิต พบว่าเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาครอบครองยาเสพติดมีไว้เพื่อจำหน่ายตั้งแต่ปี 2555 ปี 2556 และ 2561 แต่ขณะเกิดเหตุในครั้งนี้ ตำรวจไม่ได้มีการตรวจค้นตัว เนื่องจากต้องเร่งช่วยเหลือผู้บาดเจ็บก่อน

...