เกิดเหตุไฟไหม้โกดังเก็บสารเคมี ตั้งอยู่ริมถนนสายอุทัย-ภาชี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นโกดังร้าง มีคนลักลอบนำสารเคมีมาเก็บ จนท.ยึดไว้เป็นของกลางในคดี 4 พันตัน ควันดำพวยพุ่ง ส่งกลิ่นเหม็น เทศบาลฯ แจ้งชาวบ้านให้สวมหน้ากากอนามัย ออกมาอยู่ในที่โล่งแจ้ง
ตั้งแต่เวลา 22.00 น. วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 67 ได้เกิดเหตุไฟไหม้โกดังเก็บสารเคมี ตั้งอยู่ริมถนนสายอุทัยภาชี หมู่ 2 ตำบลภาชี อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายนพดล พลซื่อ นายอำเภอภาชี, นายสเกน จันทร์ผดุงสุข นายกเทศมนตรี อ.เมืองภาชี, หัวหน้าป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานรถน้ำกว่า 20 คัน และรถโฟม ร่วมกันวางแผนในการเข้าดับเพลิงเนื่องจากด้านในโกดังเป็นที่เก็บสารเคมี และไม่ทราบว่าเป็นสารเคมีชนิดใด
ขณะที่ภายในโกดังมีทั้งแสงเพลิง และกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าจำนวนมากและส่งกลิ่นเหม็น เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยอยุธยาร่วมกันวางแผนกับเจ้าหน้าที่ชุดดับเพลิง โดยมีการแบ่งกำลังเจ้าหน้าที่ 6 นาย สวมชุดเครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากอากาศด้านในมีน้อย เพื่อเข้าไปสำรวจเพื่อวางแผนดับเพลิง
จากการสำรวจพบว่าจุดเพลิงไหม้อยู่บริเวณกลางโกดัง และลุกไหม้กากพัสดุซึ่งเป็นสารเคมีมีทั้งของแข็ง และของเหลว เจ้าหน้าที่จึงใช้โฟมเข้าทำการดับเพลิง ซึ่งแสงเพลิงเริ่มน้อยลง แต่ก็ยังไม่สาสามารถดับได้ จึงได้ประสานทั้งรถน้ำ และรถดับเพลิงเข้ามาสแตนด์บายรอเพื่อควบคุมสถานการณ์
ขณะเดียวกัน ทางเทศบาลภาชี ได้มีประกาศเสียงตามสายแจ้งเตือนประชาชน หากผู้ใดได้รับผลกระทบจากกลิ่นของสารเคมีให้สวมหน้ากากอนามัย หรือถ้าหายใจไม่ออกให้ออกมานอกบ้าน และอยู่ในที่โล่ง ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานมีประชาชนได้รับผลกระทบจากกลิ่นของสารเคมีดังกล่าว
...
ล่าสุดช่วงสาย ภายหลังเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่กู้ภัย ระดมฉีดโฟม 6,000 ลิตรเข้าไปในโกดังเก็บสารเคมีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ตลอด 6 ชั่วโมง จนสามารถควบคุมเพลิงไม่ให้ลุกลามไว้ได้ทั้งหมด ซึ่งโกดังดังกล่าว เป็นพื้นที่ปิดทึบ ทำให้ควันไม่สามารถลอยออกจากโกดังได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเดินเท้าฉีดโฟมเข้าจากอีกฟากของโกดังเพื่อดันกลุ่มควันให้ออกทางประตูด้านหน้า และตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา กระแสลมได้พัดกลุ่มควันไปทางทิศใต้ของโกดัง ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งทำให้ประชาชน 200 ครัวเรือน ที่อาศัยอยู่ ในรัศมี 500 เมตร ถึง 1 กมิโลเมตร รอบโกดังไม่มีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ จึงไม่ต้องมีคำสั่งปิดพื้นที่ หรือสั่งการให้อพยพประชาชนออกนอกพื้นที่
นายปทุม อบสุคนธ์ อายุ 70 ปี ชาวบ้านที่อยู่ตรงข้ามโกดังสารเคมี เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนตนเองได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น 3 ครั้ง จากนั้นจึงรีบวิ่งมาดู พบว่าต้นเพลิงมาจากยางรถรถบรรทุก 10 ล้อ ที่ถูกยึดไว้เป็นของกลางภายในภายในโกดัง แต่ไม่ทราบว่าทำไมถึงลุกลามไปติดยางเก่าซึ่งเป็นพัสดุปนเปื้อนสารเคมีทำให้เพลิงลุกลาม และกลุ่มควันสีดำจำนวนมาก ส่งผลกระทบกับชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงจุดเกิดเหตุระยะประมาณ 200 เมตร นายประทุมยังบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ครั้งแรกที่ได้รับกลิ่นของสารเคมี มีอาการแสบจมูก แต่ยังไม่ถึงขั้นแสบตาซึ่งโชคดีลมไม่ได้พัดมาทางบ้านของตน จึงยังสามารถพักอาศัยอยู่ในบ้านได้
สำหรับโกดังแห่งนี้ จาการตรวจสอบพบว่า เป็นโกดังร้างที่ใช้เก็บสารเคมีซึ่งเป็นกรดเข้มข้นหลายชนิด ไว้ภายในถังขนาด 200 ลิตร และ 1,000 ลิตร และสารเคมีอื่นๆ รวมประมาณ 4,000 ตัน รวมทั้งมีสายยางเก่า ซึ่งเป็นวัตถุไวไฟ มีการติดป้ายประกาศจากเทศบาลตำบลภาชีเรื่องขอให้หยุดดำเนินการและงดใช้สถานที่สะสมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ที่ยังไม่ได้ขออนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จึงขอให้หยุดดำเนินการกิจการและงดใช้สถานที่เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ดำเนินการตรวจสอบในการประกอบกิจการ ระบุลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 โดยทั้งหมด ถูกตรวจยึดไว้เป็นของกลางคดีอาญาบก.ปทส.ที่ 1 / 2566 คดีสภ.ภาชี และอยู่ระหว่างการดำเนินคดี
ต่อมาเวลา 10.00 น. นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายไพรัช เพชรญวน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีอยุธยา นายนพดล พลซื่อ นายอำเภอภาชี นายจินดา เตชะศิรินทร์ ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมโรงงานอุตสาหกรรม กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นพ. ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 นพ.ยุทธนา วรรณโพธิ์กลาง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุซึ่งเป็นการเก็บสารเคมีเถื่อนเบื้องต้นสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วแต่ยังคงมีกลุ่มควันเพียงเล็กน้อย
นายจินดา เตชะศิรินทร์ ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมโรงงานอุตสาหกรรม กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เผยว่า โกดังเก็บสารเคมี เจ้าหน้าที่ได้มีการขยายผลและมีการตรวจยึดสารเคมีไว้ภายในโกดังซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการฟ้องร้อง มีผู้ต้องหาหลายรายที่ต้องมีส่วนร่วมในการชดใช้ค่าเสียหายในการทำลายสารเคมีดังกล่าว และอยู่ระหว่างรองบประมาณในการทำลายซึ่งมีการตั้งงบไว้ 6.9 ล้าน บาท ซึ่งงบประมาณในการทำลายจะออก ปี 67 แต่ก็มาเกิดเหตุเพลิงไหม้เสียก่อน เชื่อว่าไม่ได้เกิดขึ้นเอง อาจจะเกิดจากฝีมือคนเพื่อทำลายหลักฐาน
อย่างไรก็ตามต้องรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุเพื่อหาสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้อย่างแน่ชัดเสียก่อน
ส่วนผลกระทบเกี่ยวกับกลิ่นของสารเคมี เบื้องต้น เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้นำเครื่องตรวจวัดก๊าซและไอระเหยสารเคมีมาทำการตรวจวัดคุณภาพอากาศ รอบโกดัง ไม่พบสารเคมีปนเปื้อนอยู่ในอากาศจึงไม่ส่งผลกระทบกับชาวบ้าน
...