แพทย์สุดยื้อปั๊มหัวใจน้องโมผู้ประสบเหตุรถทัวร์มรณะ  เลือดคั่งในสมอง รักษา 3 วัน แม่กำมือลูกก่อนจากลา บอกชีวิตนี้ไม่เหลือใครแล้ว เผยเพิ่งไปงานศพยาย ลูกสาวไปส่งที่ระยองแล้วนั่งรถทัวร์ไปสงขลา ก่อนมาประสบอุบัติเหตุ สรุปเสียชีวิตรวม 15 ศพ

วันที่ 9 ธันวาคม 2566 ที่อาคารสุคติ โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ญาติๆ และเพื่อนรอรับศพ น.ส.มณฑิรา ดีมา หรือ น้องแตงโม อายุ 29 ปี ผู้ประสบอุบัติเหตุ รถทัวร์สายกรุงเทพฯ-นาทวี ของบริษัทศรีสยามเดินรถจำกัด หมายเลขทะเบียน 14-3301 กรุงเทพมหานคร ชนต้นไม้ใหญ่ริมถนนเพชรเกษม หลักกิโลเมตรที่ 331 หมู่ 7 ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตมากถึง 14 ศพ และส่งตัวผู้บาดเจ็บรักษาที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ในส่วน น.ส.มณฑิรา ดีมา หรือน้องแตงโม บาดเจ็บสาหัส สมองบวม รักษาที่ตึกศัลยกรรม 1 อาคารผู้ป่วยนอก มีอาการเลือดออกในสมอง สวมเครื่องช่วยหายใจ


กระทั่งช่วงเช้าของวันนี้ อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ทีมแพทย์โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ทำการรักษาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาการผู้ป่วยไม่สู้ดีตั้งแต่วันแรก พร้อมทั้งเรียกญาติมาเฝ้าอาการ จนหัวใจหยุดเต้น แพทย์ทำการปั๊มหัวใจเพื่อฟื้นคืนชีพจร แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ จากไปอย่างสงบ

 


น.ส.พรทิพย์ อาจหาญ อายุ 58 ปี มารดาของ น.ส.มณฑิรา ดีมา หรือ น้องแตงโม กล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะเดินทางขึ้นรถทัวร์คันนี้ น้องโมพาแม่ไปงานศพยายที่จังหวัดนครสวรรค์ แล้วไปส่งแม่ที่ระยอง จากนั้นซื้อตั๋วขึ้นรถทัวร์เดินทางกลับจังหวัดสงขลา เพื่อไปเอารถที่จอดทิ้งไว้ที่บ้านแฟน ครั้งแรกที่ทราบเหตุว่า มีชื่อน้องโมเป็นผู้เสียชีวิต จึงเดินทางมาที่ประจวบคีรีขันธ์ แต่เมื่อทราบว่าเป็นชื่อผู้เสียชีวิตที่สลับกับสาวชาวเมียนมาที่ชื่อ ทิดามอน ก็รู้สึกมีความหวังดีใจที่น้องยังมีชีวิต

...


 

แต่เมื่อเห็นอาการน้องโม ทรุดหนัก สภาพสมองบวมก็เสียใจ เพราะตนไม่เหลือใครแล้ว สามีตายไปแล้วหลายปี ลูกชายพี่ชายโมก็ตายไปแล้ว และยังเพิ่งไปงานศพยาย จึงไม่เหลือใครเลย โดยน้องโมเป็นเสาหลักของครอบครัว

“อาการน้องโม คือไม่รู้สึกตัวอะไร ใส่เครื่องช่วยหายใจ ได้แต่บอกข้างหูว่า แม่มาหาแม่มาเฝ้า เป็นอย่างไรบ้าง เขาก็จะเอามือรั้งที่นอน พอเพื่อนๆ มาก็จะเกาหนักขึ้น อยู่พักหนึ่ง แต่หากใครไม่พูดข้างหูเขาจะไม่รู้เรื่อง มองดูน้องแล้วรู้สึกน้องโมจะไม่ไหว เพราะอาการที่สมองหนักมาก”


แม่ กล่าวด้วยว่า วางแผนว่าจะพาน้องโมไปรักษาที่สงขลา แต่ตอนเช้าขึ้นไปที่เตียงน้องโม พยาบาลที่ดูแลพูดว่า ไปไม่ได้ค่ะคุณแม่ อาการไม่ดี ชีพจรต่ำลง หัวใจอ่อนแรง กระสับกระส่ายอย่างแรง และแพทย์บอกให้อยู่ที่นี่ ดูอาการน้องก่อน และช่วยกันปั๊มหัวใจ หัวใจกลับมาเต้นพักหนึ่ง กระทั่งอ่อนแรงและหมดลมหายใจ ซึ่งแพทย์ที่ทำการรักษาบอกว่าน้องไม่ไหวแล้วครับแม่ ปล่อยเขานะแม่  แม่ก็ไปบอกลา ลูบหน้าลูบตา น้องก็หลับไปอย่างสงบ เมื่อเวลา 08.38 น.


น.ส.พรทิพย์ เล่าให้ฟังอีกว่า ระหว่างเฝ้าไข้น้องโม ซึ่งเตียงอยู่ใกล้กับพนักงานขับรถทัวร์ ได้ยินเพื่อนร่วมงานเขาคุยกันว่า ได้กินยาไหม คนขับบอกว่าไม่ได้กินยา น้ำกระท่อมก็ไม่ได้กิน แต่กินข้าวแล้ว รู้สึกตัวว่ามีอาการไข้ขึ้น แต่พอมาถึงที่เกิดเหตุรู้สึกมืออ่อนแรง

ด้าน น.ส.เพ็ญประภา แทนนาค อายุ 30 ปี เพื่อนที่เติบโตกันมาตั้งแต่เด็กที่ชุมพร กล่าวว่า  ตอนแรกที่ทราบข่าว เพื่อนๆ มาเยี่ยมโม รู้สึกว่าโมอาการดีขึ้น   เวลาที่เรียกชื่อโม โมจะบีบมือและกะพริบตา รู้สึกใจชื้นว่าเพื่อนรอดแล้ว เพราะไม่ได้อยู่ไอซียู อยู่ห้องรวม แสดงว่าเดี๋ยวก็หาย ไม่คิดว่าเพื่อนจะเสียชีวิต


"อยากให้บริษัทรถเยียวยาผู้เสียชีวิตให้ถึงที่สุด ให้ช่วยเหลือตามที่แจ้งก่อนหน้านี้อย่างเต็มที่ โมเป็นเสาหลักของบ้าน แม่เหลือโมเพียงคนเดียว พ่อก็เสียแล้ว  พี่ก็เสียแล้ว สภาพจิตใจแม่รู้สึกสับสน เสียใจ พูดไม่ออก และตัดพ้อว่า ใจคอจะทิ้งกันไปให้หมดเหรอ"


หลังจากที่พนักงานผ่าและรักษาศพประจำอาคารสุคติ โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ทำความสะอาดร่างไร้วิญญาณ และญาติดำเนินการเอกสาร  การออกใบมรณบัตร นำ น.ส.พรทิพย์ แม่ จุดธูปสามดอกที่หิ้งพระหน้าห้องสุคติ เพื่อเชิญวิญญาณกลับบ้าน จากนั้นเคลื่อนร่างออกไปใส่ในรถของมูลนิธิสว่างประจวบธรรมสถาน ไปยังวัดประชานิคม 2 ต.คุริง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร


ส่วนการเคลื่อนย้ายศพ ทางบริษัทรถทัวร์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในเบื้องต้น เป็นค่าเดินทางและค่าปลงศพ ส่วนความเสียหายและเยียวยาจากบริษัทประกันวินาศภัย ทางผู้ประกอบการนัดญาติผู้เสียชีวิตและผู้ป่วย เจรจาค่าชดเชยในวันที่ 20 ธันวาคมนี้