“รณสิทธิ์ พฤกษยาชีวะ” ประธานมูลนิธิรณสิทธิ์เพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์และความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด ตรวจสอบกรณีพนักงานอัยการ สำนักงานคดีทุจริตภาค 7 ไม่สั่งฟ้องกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐเอี่ยวรับส่วยสถานบริการ “ชมดาวคาราโอเกะ” ใน จ.กาญจนบุรี เมื่อ ปี 58 แฉคดีนี้มีตำรวจระดับ พ.ต.อ. เข้ามาบิดข้อเท็จจริง ให้เด็กสาวชาวเมียนมาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ถูกดำเนินคดีมั่วสุมและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ด้วยการเปลี่ยนอายุจาก 15 ปีเป็นอายุกว่า 18 ปี
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. นายรณสิทธิ์ พฤกษยาชีวะ ประธานมูลนิธิรณสิทธิ์เพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์และความรุนแรงต่อเด็กและสตรี เข้ายื่นหนังสือต่อสำนักงานอัยการสูงสุดและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบเหตุใดพนักงานอัยการ สำนักงานคดีทุจริตภาค 7 ไม่สั่งฟ้องกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีเอี่ยวรับส่วยสถานบริการ “ชมดาวคาราโอเกะ” ใน จ.กาญจนบุรี มีนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้รับเรื่อง
นายรณสิทธิ์ พฤกษยาชีวะ ประธานมูลนิธิรณสิทธิ์เพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ฯ เปิดเผยว่า คดีนี้พนักงานอัยการสำนักงานคดีทุจริตภาค 7 มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่เป็นตำรวจระดับสูงเกี่ยวข้องกับการเรียกรับสินบนจากสถานบริการ “ชมดาวคาราโอเกะ” จ.กาญจนบุรี เมื่อปี 58 เรื่องเดิมมีอยู่ว่าการเข้าตรวจค้นร้านคาราโอเกะในครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือน ต.ค.58 พบเอกสารเรียกรับส่วยของเจ้าหน้าที่รัฐหลายคน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นเจ้าหน้าที่รับเงินสด 7 นาย และกลุ่มที่มีเงินโอนเข้าบัญชี 6 นาย คดีนี้แบ่งเป็น 2 สำนวน สำนวนแรก คือกลุ่มที่รับส่วยจากการโอนเงินเข้าบัญชี ในปี 64 กรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็นคดีพิเศษในส่วนของการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐและมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาไปยังสำนักงานอัยการภาค 7 แต่ปัจจุบันกลับยังไม่มีความคืบหน้าว่าสั่งฟ้องหรือไม่ อีกสำนวน คือกลุ่มที่รับส่วยเป็นเงินสด
...
กลุ่มนี้ดีเอสไอส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งฟ้องไปเมื่อปี 65 แต่ต่อมาพนักงานอัยการภาค 7 กลับมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ส่วนนี้มีการตั้งข้อสงสัยว่ามีพยานหลักฐานชัดเจน ครบถ้วนแต่กลับไม่สั่งฟ้อง อยากมาถามทางสำนักงานอัยการสูงสุดว่าเหตุใดถึงไม่สั่งฟ้อง ตรวจพยานหลักฐานครบแล้วหรือยังและจะไปถามดีเอสไอว่าหลังอัยการภาค 7 ส่งกลับมาว่าไม่ฟ้อง ทำไมถึงไม่แย้งกลับไปตามขั้นตอน
“ผมเชื่อว่ามีกลุ่มขบวนการที่พยายามช่วยเหลือกลุ่มผู้ต้องหา เพราะในกลุ่มที่ 2 ที่มีคำสั่งไม่ฟ้อง มีตำรวจระดับ พ.ต.อ.เข้ามาเกี่ยวข้อง พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ชาวเมียนมาเป็นเด็กหญิงอายุ 15 ปี ถูกดำเนินคดีในข้อหามั่วสุมและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ด้วยการปลอมเอกสารเปลี่ยนอายุผู้เสียหาย จาก 15 ปี เป็นอายุกว่า 18 ปี ทั้งนี้ผมยื่นหนังสือและช่วยเหลือเด็กหญิงกลับภูมิลำเนาแล้ว” นายรณสิทธิ์กล่าว
ขณะที่นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ออกมารับหนังสือร้องเรียน กล่าวว่าเตรียมนำเอกสารดังกล่าวยื่นให้อัยการสูงสุดตรวจสอบทันที การตรวจสอบจะเร่งทำให้เร็วที่สุดเพราะขณะนี้มีอีกหลายคดีที่อัยการสูงสุดต้องเร่งตรวจสอบ