ชาวบ้านพุน้ำร้อน สุพรรณบุรี หวาดผวาไก่ตายปริศนาคาเล้ากว่า 15 ตัว ท้องแตกไส้หาย ไม่มีขนไก่ร่วงอยู่ เชื่อเป็นผีกระสือหรือผีปอบมากัดกิน แถมคืนวันโกน หมาเห่า หมาหอน เพื่อนบ้านถ่ายคลิปดวงไฟปริศนาได้อีก

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านพุน้ำร้อน ในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี ต้องหวาดผวา เมื่อเจอเหตุการณ์ประหลาด จู่ๆ ไก่ในเล้าตายหลายตัว พบมีร่องรอยถูกกัดท้องควักเครื่องในหาย บางตัวก็คอหัก สร้างความตกตะลึงและเกิดความสะพรึงกลัวให้กับชาวบ้าน คิดว่าเป็นสิ่งลี้ลับ หรือมีสัตว์ชนิดใดมาทำร้ายกินไก่หรือไม่

ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบ ที่บ้านเลขที่ 59 หมู่ที่ 16 ต.ด่านช้าง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี พบกับ นางบุญหลาย เพชรกุล อายุ 56 ปี ผู้ที่พบเหตุการณ์ประหลาด ได้พาผู้สื่อข่าวไปดูที่เกิดเหตุในเล้าไก่ข้างบ้าน ซึ่งยังมีซากไก่เหลืออยู่ 1 ตัว ส่งกลิ่นเน่าเหม็น พร้อมกับกล่าวว่า ครั้งแรก มาเจอซากไก่ตาย วันที่ 23 พ.ค. รวม 10 ตัว โดยมี 5 ตัว ถูกเจาะกินไส้ไปหมด และทุกตัวคอหักตาย และนอนตายเป็นระเบียบ เหมือนจับวาง พร้อมกับไม่มีรอยเลือดสาดกระเซ็น และในเล้าไก่ก็ไม่มีขนไก่ร่วงอยู่

ครั้งต่อมา กลางดึกวันที่ 24 พ.ค. ซึ่งเป็นคืนวันโกน มีหมาเห่า หมาหอน แต่ไม่คิดว่าจะเกิดซ้ำ และก็กลัวว่าจะมีอะไร แต่ไม่กล้าออกมาดู ตอนเช้าวันที่ 25 พ.ค. ก็มาพบซากไก่ตายอีก 5 ตัว จนลูกสาวนำมาโพสต์ในเฟซบุ๊ก ทำให้ทราบว่ามีเพื่อนบ้านถ่ายดวงไฟปริศนาได้บนท้องฟ้าแถวบ้านที่พบไก่ตาย ซึ่งตนเชื่อว่าต้องเป็นสิ่งลึกลับ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นผีปอบ หรือกระสือ ตอนนี้ตนกับชาวบ้านก็เชื่อว่าเป็นสิ่งลี้ลับ ไม่น่าจะเป็นสัตว์แน่นอน เพราะพฤติกรรมกินแต่ไส้ ทำไมไม่กินหมดทั้งตัว และทำไมตายทีละหลายตัว

ทางด้าน นายณัฐวุฒิ สระทองพรหม อายุ 28 ปี เพื่อนบ้านที่ถ่ายดวงไฟปริศนา กล่าวว่า วันที่ถ่ายได้ ตนเดินออกมาและได้ยินหมาเห่า เลยเดินมาดู ก็เห็นดวงไฟโผล่ที่ตรงต้นมะพร้าวหลังบ้าน ไฟลอยสูงประมาณเสาไฟฟ้า ตนเห็นเป็นดวงไฟสว่างจ้า มีสีแดง สลับเหลือง ขาว ฟ้า เขียวๆ ซึ่งไม่เหมือนไฟ มันแสบตามาก สว่างจ้า จึงหยิบโทรศัทพ์มาถ่าย เพราะไม่เหมือนแสงไฟถนน ที่ตนเห็นเป็นดวงไฟลอยมาใกล้ๆ และสว่างแสบตาผิดสังเกต และเคลื่อนที่ช้าๆ และหมาก็เห่าหลังบ้าน ตรงที่ไม่มีบ้านคน  

...

“ตอนนั้นประมาณ 5 ทุ่ม เกือบเที่ยงคืน ซึ่งตนคิดว่าเหมือนกระสือ แต่ก็ไม่ได้กลัวอะไร และพร้อมที่จะพาผู้สื่อข่าวไปดูจุดที่เจอไฟประหลาดด้วย” นายณัฐวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย.