ฝ่ากระแสดราม่า "บูลลี่" เด็กอายุ 5 ขวบ ผู้เข้าประกวดหนูน้อยกล้วยไข่ คว้ารางวัลชนะเลิศ โซเชียลถล่ม บอกบ้านรวย เป็นเด็กเส้น รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ จนคว้าชัยชนะ แท้จริงเป็นเด็กอัธยาศัยดี ร่าเริง ส่วนคุณแม่เป็นแม่ค้าขายขนมจีบรถเข็น คนหาเช้ากินค่ำ
กรณีประเด็นดราม่า บนเวทีประกวดชื่อดังของจังหวัดกำแพงเพชร หลังจากที่โลกโซเชียลมีการแชร์คลิปการประกาศผลรางวัล "หนูน้อยกล้วยไข่เมืองกำแพง" ที่จัดขึ้น ณ เวทีกลางงานสารทไทยกล้วยไข่และของดีเมืองกำแพง เมื่อค่ำของวันที่ 26 กันยายน ที่ผ่านมา โดยมีผู้ปกครองของผู้เข้าประกวดไม่ยอมรับผลการตัดสิน เดินขึ้นไปบนเวที ปลดสายสะพายพร้อมคืนถ้วยรางวัลให้กับผู้มอบรางวัล ก่อนที่จะพาลูกลงจากเวที นั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่พูดคุยกับคุณแม่ และน้องกีว่า ผู้คว้าตำแหน่งรางวัลชนะเลิศในการประกวดหนูน้อยกล้วยไข่เมืองกำแพงเพชร จนเป็นกระแสดราม่าดังกล่าว ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และไม่พอใจผลการตัดสินของคณะกรรมการ จนเลยเถิดไปถึงมีบางคน คอมเมนต์ข้อความแสดงความคิดเห็นในเชิงบูลลี่น้อง ซึ่งเป็นข้อความที่หยาบคายและทำร้ายความรู้สึกน้อง หากน้องได้อ่านข้อความดังกล่าว
...
โดย นางสาวพาชื่น โตพุ่ม อายุ 44 ปี ชาวจังหวัดกำแพงเพชร คุณแม่ของ ดญ.ศิณิต้า เฮกีล่า หรือน้องกีว่า อายุ 5 ขวบ เปิดเผยว่า ตั้งแต่กลับจากการประกวดหนูน้อยกล้วยไข่แล้ว คุณแม่มีความรู้สึกไม่สบายใจกับข้อความในคอมเมนต์ต่างๆ เช่น บ้างบอกบ้านรวย เป็นเด็กเส้น รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัด จนคว้าชัยชนะ ทั้งที่แท้จริงแล้ว ตนเป็นเพียงแม่ค้าขายขนมจีบรถเข็นธรรมดาอยู่ริมทาง เป็นคนหาเช้ากินค่ำธรรมดาเท่านั้น และด้วยความเป็นแม่ทุกคน ก็อยากปกป้องลูก ไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาว่าลูกเราด้วยถ้อยคำเสียๆ หายๆ อยากให้คนที่คอมเมนต์ได้ดูความเป็นจริงทั้งสองด้าน ก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นข้อที่บั่นทอนจิตใจคนอื่น
นางสาวพาชื่น ยังเปิดเผยอีกว่า สำหรับตัวน้องกีว่านั้น ยังไม่เข้าใจถึงกระแสดราม่าต่างๆ น้องทราบแต่เพียงว่าตนเองชนะการประกวดได้รางวัลที่หนึ่งและได้ออกทีวีด้วย
สำหรับน้องกีว่า เป็นเด็กชื่นชอบในการแสดงออก พูดจาเก่ง มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ร่าเริงเหมือนเด็กทั่วไป มีช่วยแม่ทำงานบ้าน และพูดเล่นหยอกล้อกับผู้สื่อข่าวด้วยอารมณ์ขบขัน
...
ผู้สื่อข่าวถามน้องกีว่า ว่า เมื่อโตขึ้นอยากเป็นอะไร น้องตอบว่าอยากเป็นสัตวแพทย์ โดยคุณแม่ของน้องกีว่า กล่าวว่า ขณะนี้ก็ใช้ชีวิตตามปกติ จับมือลูกฝ่ากระแสดราม่า และคอมเมนต์บูลลี่ต่างๆ ไป และสนับสนุนในสิ่งที่ลูกอยากจะทำให้ดีที่สุดเพียงเท่านั้น แค่ลูกกล้าแสดงออกตนก็รู้สึกภูมิใจมากแล้ว.