ตะครุบสาวใหญ่ทำทีตีสนิทเข้าไปดูแลอดีตผู้จัดการแบงก์ ขณะรักษามะเร็งกระเพาะอาหารในศูนย์ผู้ป่วยหลังเสียชีวิตแอบใช้มือถือผู้ตายโอนเงินฝากผ่านแอปฯธนาคารเข้าบัญชีตัวเอง ลูกชายเหยื่อรู้เรื่องเข้าแจ้งความเอาผิด ชุดสืบสวนขอหมายจับบุกล็อกตัวคาบ้าน พร้อมยึดเงินสดและทรัพย์สินคืนได้ร่วม 16 ล้านบาท เจ้าตัวอ้างผู้ตายมอบให้เพราะความเสน่หา ทุ่มเงิน 1 ล้านบาท ว่าจ้างทนายความสู้คดี
ที่ สภ.เมืองพิษณุโลก เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ก.ย. พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผบช.ภ.6 แถลงจับกุม น.ส.สิตางค์ หรืออ้อย ทองรำพรรณ อายุ 46 ปี บ้านเลขที่ 100/89 หมู่ 2 ต.วัดจันทร์ อ.เมือง พิษณุโลก ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์หรือรับของโจร และกระทำความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ของกลางเงินสด 14,329,000 บาท ทองคำแท่งน้ำหนัก 10 บาท มูลค่า 299,500 บาท รถเก๋งเชฟโรเลต รุ่นอ็อพตร้า สีเทา ทะเบียน กท 6689 พิษณุโลก ของผู้เสียชีวิต รถเก๋งมิตซูบิชิ สีเทา ทะเบียน กก 8442 พิษณุโลก ของผู้ต้องหา เป็นรถใช้ซ่อนเงิน โทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง สมุดบัญชีเงินฝาก 6 เล่ม สำเนาเอกสารและทรัพย์สินอื่นหลายรายการ
พล.ต.ท.อัคราเดชเปิดเผยว่า คดีนี้นายปฏิวัติ ไทยสม อายุ 31 ปี ชาว จ.พิษณุโลก เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก ให้ดำเนินคดี น.ส.สิตางค์ หรืออ้อย ทองรำพรรณ ลักโทรศัพท์มือถือของบิดาอายุ 56 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่งที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 9 ส.ค. แล้วใช้เข้าถึงข้อมูลและทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปพลิเคชัน โอนเงินจากบัญชีธนาคารผู้เสียชีวิต เข้าบัญชีธนาคารผู้ต้องหา รวมเงิน 15,790,000 บาท เป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายของบิดา หลังรับรายงานจาก ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก สั่งการให้ชุดสืบสวน ภาค 6 ร่วมกับชุดสืบสวน สภ.
เมืองพิษณุโลก สืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด ติดตามทรัพย์สินคืนให้ผู้เสียหายโดยเร็ว
...
ผบช.ภ.6 กล่าวต่อว่า ตำรวจสืบทราบว่า น.ส.สิตางค์ หรืออ้อย ผู้ต้องหายังอยู่ที่บ้าน ได้นำหมายค้นหมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก เข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาและตรวจค้นบ้าน พบเงินสด 2,329,000 บาท ทองคำแท่งหนัก 10 บาท รถเก๋งเชฟโรเลตของผู้เสียชีวิต โทรศัพท์มือถือ สมุดบัญชีเงินฝาก สำเนาเอกสารและทรัพย์สินอื่นๆ จากนั้นขยายผลจนรู้ที่ซ่อนเงินสดส่วนที่เหลือ และตรวจยึดเงินสดคืนได้อีก 12,000,000 บาท ผู้ต้องหานำเงินใส่กระเป๋าเดินทางซุกซ่อนใส่ไว้ช่องเก็บยางอะไหล่รถเก๋งมิตซูบิชิ จอดอยู่ในบ้านเลขที่ 80/154 ถนนประชาอุทิศ ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก
พ.ต.อ.ภาคภูมิ ปราบศรีภูมิ ผกก.สภ.เมือง พิษณุโลก เปิดเผยว่า น.ส.สิตางค์ หรืออ้อย มีความสนิท สนมทำหน้าที่ดูแลผู้เสียชีวิตขณะเข้ารักษาอาการป่วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วย ต.พลาย ชุมพล อ.เมืองพิษณุโลก กระทั่งได้เสียชีวิตลง ผู้ต้องหาได้ใช้โทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิต เพราะทราบรหัสผ่าน เข้าแอปพลิเคชันธนาคาร โอนเงินจากบัญชีธนาคารกรุงไทยของผู้เสียชีวิต เข้าบัญชีธนาคารทหารไทยธนชาต หรือทีเอ็มบี ของผู้ต้องหา ตั้งแต่วันที่ 9-16 ส.ค. จำนวน 17 ครั้ง รวม 15,790,000 บาท จากนั้นนำสมุดบัญชีเงินฝากไปถอนเงินที่ธนาคารทหารไทยธนชาต ในวันที่ 21 ส.ค. 3,000,000 บาท และวันที่ 24 ส.ค. อีก 12,732,654 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 15,732,654 บาท เงินส่วนหนึ่งนำไปซื้อทองคำแท่งหนัก 10 บาท ส่วนเงินสดที่เหลือซุกซ่อนไว้ในบ้านและรถยนต์
นอกจากนี้ น.ส.สิตางค์ หรืออ้อย ผู้ต้องหา ยังจ่ายเงินว่าจ้างทนายความ กรณีที่ต้องถูกดำเนินคดี เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การภาคเสธว่ากระทำไปตามคำสั่งของผู้เสียชีวิต แต่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อและมีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีผู้ต้องหาในความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร, เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 7 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พนักงานสอบสวนได้นำตัวไปขออำนาจศาลจังหวัดพิษณุโลก ฝากขังไว้ที่เรือนจำจังหวัดพิษณุโลกเรียบร้อยแล้ว
ในระหว่างแถลงข่าว ญาติและครอบครัวของผู้เสียหาย นำช่อดอกไม้มามอบให้กับตำรวจชุดจับกุมเพื่อแสดงความขอบคุณ ที่สามารถติดตามจับตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางมาคืนให้กับทายาทของผู้เสียชีวิตได้ในที่สุด และไม่เชื่อว่าผู้เสียชีวิตจะให้ทรัพย์สินจำนวนมากกับผู้ต้องหาเพราะความเสน่หาอย่างแน่นอน เนื่องจากเพิ่งมาดูแลได้ไม่นาน