ลงดาบเชือดนายดาบตำรวจท่องเที่ยวพาพวกอีกคนอ้างตัวเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองรีดส่วยสถานบันเทิงย่านบางใหญ่ ถูกเจ้าหน้าที่กรมการปกครองตัวจริงซ้อนแผนตลบหลังจับกุมคาหนังคาเขาหลังขับรถสายตรวจท่องเที่ยวมารับเงินล่อซื้อ 1 แสนบาท ทั้งคู่ยังให้การภาคเสธอ้างมีคนประสานให้มารับเงิน เร่งเค้นสอบขยายผลตามล่าเพื่อนร่วมแก๊งอีกคน ผบช.ทท.สั่งให้ออกจากราชการทันทีพร้อมตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง รวมทั้งสอบสวนผู้บังคับบัญชาโดยตรงตั้งแต่รอง สว.ไปถึง สว.ที่บกพร่องปล่อยปละละเลยผู้ใต้บังคับบัญชาเอารถในหน่วยไปก่อเหตุ
ปฏิบัติการตลบหลังจับกุมตำรวจท่องเที่ยวรีดส่วยสถานบันเทิงรายนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 19.30 น.วันที่ 7 ก.ค. นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ประสาน พ.ต.อ.วันชัย ชูจิตร ผกก.สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง ร่วมกับตำรวจ สภ.บางใหญ่ จับกุมตัว ด.ต.ภูวเมศฐ์ หิรัญวงศ์วราดล ตำรวจท่องเที่ยว ตำแหน่ง ผบ.หมู่ ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.1 และนายมานัส สุขสม อายุ 46 ปี ของกลางเงินสด 100,000 บาท รถเก๋งโตโยต้าอัลติส สีบรอนซ์ ของตำรวจท่องเที่ยว ทะเบียน 1 ขท 1840 กรุงเทพมหานคร และรถเก๋งนิสสันซันนี่ สีทอง ทะเบียน ษน 7782 กรุงเทพมหานคร จับกุมตัวได้ที่ลานจอดรถห้างดีแคทลอน ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี

...
เบื้องหลังการจับกุมสืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง ได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีบุคคลแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองเรียกรับเงินจากสถานบันเทิง ผับ บาร์ เป็นค่าดูแลรายเดือน ครั้งแรกต้องจ่าย 5,000 บาท และรายเดือนเดือนละ 3,000-4,000 บาท ทั่วทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล หากร้านไหนไม่จ่ายเงินจะจับกุมและสั่งปิดร้าน ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเกิดความหวาดกลัวและยอมจ่ายค่าดูแลให้กับกลุ่มคนเหล่านี้
หลังได้รับข้อมูลเจ้าหน้าที่วางแผนล่อซื้อโดยให้เจ้าของร้าน Moon Bar ที่อยู่บริเวณข้างห้างดีแคทลอน นัดหมายให้กลุ่มคนดังกล่าวเข้ามารับเงิน 1 แสนบาท ที่อ้างว่าเก็บรวบรวมจากสถานบันเทิงอีกหลายร้านในย่านนั้นเพื่อจ่ายเป็นค่าดูแล ถ่ายเอกสารธนบัตรทั้งหมดไว้ เมื่อถึงเวลานัดหมายมีชาย 2 คนคือ ด.ต.ภูวเมศฐ์ แต่งชุดตำรวจครึ่งท่อน เสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ นุ่งกางเกงสีกากี กับนายมานัส สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้น นุ่งกางเกงยีนส์ มีซองหนังใส่บัตรห้อยคอ เดินมาหน้าร้าน อ้างตัวเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง บอกเจ้าของร้านให้นำเงินไปจ่ายนอกร้าน หลังจากรับเงินแล้วทั้งสองเดินกลับไปยังลานจอดรถ ด.ต.ภูวเมศฐ์ขึ้นรถเก๋งตำรวจท่องเที่ยว ส่วนนายมานัสขึ้นรถเก๋งส่วนตัว เจ้าหน้าที่แสดงตัวเข้าจับกุมทั้งคู่พยายามขับรถหลบหนี ต้องชักปืนกรูเข้าล้อมรถและใช้รถยนต์จอดขวางทางออกจนสกัดรถทั้ง 2 คัน ไว้ได้อย่างระทึก ตรวจค้นในรถเก๋งนายมานัสพบเงินสด 1 แสนบาท ตรวจยึดไว้เป็นของกลางนำตัวไปสอบสวนดำเนินคดีที่ สภ.บางใหญ่
นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการตอบคำถามสังคมในรูปแบบการทำงานของชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง ที่ไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์ ไม่ว่าจะรูปแบบใด รวมทั้งไม่รับเคลียร์ทุกกรณี เพื่อให้ผู้ประกอบการ สถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ ที่ประกอบกิจการที่สุจริต มั่นใจได้ว่าหากไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายรูปแบบใด กรมการปกครองในนามชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง ไม่สามารถจับกุมหรือสั่งปิดสถานประกอบการได้ หากมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง รีดไถส่วยค่าดูแลสถานประกอบการ สามารถแจ้งผ่านช่องทางหมายเลขโทรศัพท์ 1567 ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย หรือแจ้งผ่านระบบรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ

ต่อมาช่วงเช้าวันที่ 8 ก.ค. พ.ต.ท.สมชาย อรภักดี รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.บางใหญ่ นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองมาสอบปากคำนานกว่า 2 ชม. ก่อนแจ้งข้อหา ด.ต.ภูวเมศฐ์ เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใดโดยทำให้กลัวหรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย และร่วมกันกรรโชกทรัพย์ ส่วนนายมานัสถูกแจ้งข้อหา แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานโดยมิได้เป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจกระทำการนั้น, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใดโดยทำให้กลัวหรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย และร่วมกันกรรโชกทรัพย์

...
สอบสวนเบื้องต้น ด.ต.ภูวเมศฐ์ และนายมานัส มีสีหน้าเคร่งเครียดให้การภาคเสธว่า ไม่ได้มารีดไถส่วยสถานบันเทิง แต่ยอมรับว่ามารับเงินจริง มีนายแป๊ะ อายุ 44 ปี รู้จักกันตอนที่ ด.ต.ภูวเมศฐ์เป็นตำรวจท่องเที่ยวพัทยา ก่อนจะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เป็นคนประสานให้ทั้ง 2 คนไปรับเงินกับทางร้าน ก่อนถูกจับกุม
พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จ.นนทบุรี กล่าวว่า หลังทราบเรื่องมาสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 2 คน พบว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการรีดส่วยครั้งนี้อีกคน คือนายสุลรรณ์ หรือแป๊ะ มงคลพาณิชกุลณ์ อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30/7 หมู่ 2 ต.โสนลอย อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี สั่งการให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำทั้งสองคนเพื่อออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดี
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จตช. กล่าวว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว สั่ง ให้ดำเนินการโดยด่วน เพราะตำรวจทำผิดชัดเจนจนถูกจับกุมดำเนินคดี สร้างความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นอย่างมาก ต้องถูกดำเนินการทั้งทางอาญาและวินัยอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว สั่งการไปยัง พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. ให้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงโดยไม่ต้องรอตรวจสอบข้อเท็จจริง และมีคำสั่งให้ ด.ต.ภูวเมศฐ์ออกจากราชการไว้ก่อนโดยเร็วที่สุด รวมถึงดำเนินการทางวินัยกับผู้บังคับบัญชาของ ด.ต.ภูวเมศฐ์ ที่บกพร่องในการปกครองดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย
วันเดียวกัน พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. มีคำสั่งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวที่ 556/2565 ให้ ด.ต.ภูวเมศฐ์ หิรัญวงศ์วราดล ผบ.หมู่ ส.ทท. 2 กก.1 บก.ทท.1 ออกจากราชการไว้ก่อน กรณีถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาทุจริตต่อหน้าที่ราชการมีพฤติกรรมประพฤติชั่วร้ายแรง ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ และร่วมกันกรรโชกทรัพย์ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
...
ที่กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบช.ทท. ฐานะโฆษก บช.ทท. ยกมือไหว้กล่าวขอโทษประชาชนกับเหตุการณ์ตำรวจในสังกัดทำลายภาพลักษณ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสร้างความไม่พอใจให้ประชาชน ยอมรับว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้ ด.ต.ภูวเมศฐ์ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ บก.น.4-6 ในกรุงเทพฯ กลับนำรถยนต์สายตรวจตำรวจท่องเที่ยวหมายเลข 112 ขับไปยังพื้นที่ สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เรียกรับผลประโยชน์จากสถานบันเทิงก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเข้าจับกุมพร้อมเงินของกลาง พฤติการณ์ของ ด.ต.ภูวเมศฐ์อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง แต่ขับรถตำรวจท่องเที่ยวไปเรียกรับเงิน สวมเสื้อกั๊กสีดำมีตราตำรวจท่องเที่ยว ส่วนเครื่องแบบตำรวจแขวนไว้ในรถ ร่วมกับนายมานัส ที่ขับรถเก๋งอีกคันไปสมทบก่อเหตุ
ประวัติของ ด.ต.ภูวเมศฐ์ หิรัญวงศ์วราดล ผบ.หมู่ ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.1 อายุ 38 ปี เข้ารับราชการเมื่อปี 2553 รวม 12 ปี ก่อนหน้านี้เป็นตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ก่อนถูกโยกย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อต้นเดือน ม.ค.65 ตอนแรกที่ย้ายมาได้ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจ แต่ต่อมาถูกผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ธุรการเมื่อวันที่ 11 มี.ค.65 กระทั่งเดือน มิ.ย. ตำรวจท่องเที่ยวติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ต้องปรับเปลี่ยนกำลังพลเป็นครั้งคราวเพื่อช่วยงานออกตรวจ ทำให้ ด.ต.ภูวเมศฐ์มีโอกาสใช้รถสายตรวจไปก่อเหตุ ทั้งนี้ จากการที่ ด.ต.ภูวเมศฐ์ ถูกโยกย้ายจากเมืองพัทยาและปรับเปลี่ยนหน้าที่ทำให้เชื่อได้ว่าผู้บังคับบัญชาน่าจะเล็งเห็นถึงความผิดปกติ คณะกรรมการยังไม่ได้สอบสวนหรือพูดคุยกับ ด.ต.ภูวเมศฐ์ ยังไม่ทราบสาเหตุถึงข้อเท็จจริงในการโยกย้าย
ส่วนบทลงโทษทางวินัยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงพร้อมกับให้ออกจากราชการไว้ก่อน นอกจากนี้ยังตั้งคณะสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีการเรียกสอบผู้บังคับบัญชาโดยตรงของ ด.ต.ภูวเมศฐ์ ตั้งแต่ระดับรอง สว.และ สว. รวมทั้งตรวจสอบการเบิกรถไปปฏิบัติหน้าที่ ยอมรับว่ายังมีช่องโหว่ที่ต้องไปหาแนวทางแก้ไข รวมถึงคณะกรรมการจะต้องสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องในการเรียกรับผลประโยชน์ครั้งนี้ จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อลดข้อครหาที่หลายคนเกรงว่า จะมีการช่วยเหลือกัน
...