หนุ่มใหญ่ช่างเครื่องถูกเครื่องจักรบีบอัดพลาสติก บีบลำตัวจนกระอักเลือดทะลัก ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานในโรงงานย่าน อ.สามโคก จ.ปทุมธานี กู้ภัยพยายามยื้อชีวิตแต่ไม่สำเร็จ ตร.เร่งสอบสวนสาเหตุแล้ว
เมื่อวันที่ 5 มี.ค 65 พ.ต.ท กฤชฐา ประทุมแก้ว สว.(สอบสวน) สภ.สามโคก จ.ปทุมธานี ได้รับแจ้งจากหน่วยกู้ชีพ รพ.ปทุมธานี ว่ามีเหตุคนงานถูกเครื่องจักรหนีบจนเสียชีวิตภายใน บ.พรีเมียลูบริแค๊นท์ จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ม.2 ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน และ อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมประสานไปยังแพทย์เวรจาก สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวง ยุติธรรม
ในที่เกิดเหตุ พบว่าเป็นโรงงานผลิตแกลลอนน้ำมันเครื่อง ที่บริเวณหน้าแท่นเครื่องจักรบีบอีดแบบถังแกลลอน ที่พื้นพบร่างผู้เสียชีวิต นอนจมกองเลือดทราบชื่อ นายแดง เทียนทองดี อายุ 48 ปี ชาวบ้าน ม.4 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี สภาพศพสวมชุดพนักงาน มีเลือดออกปากและจมูก ก่อนที่แพทย์ชันสูตรเบื้องต้นพร้อมมอบศพให้มูลนิธิฯ นำส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง
...
นายสุระชัย พรจันทร์ อายุ 42 ปี หนึ่งในเพื่อนร่วมงาน ที่ยืนอยู่ใกล้กัน กล่าวว่า เหตุเกิดขณะที่ตัวเองและนายแดง พร้อมคนงานอีก 2 คน กำลังคุมตรวจสอบเครื่องจักรเครื่องที่เกิดเหตุอยู่ โดยตนและเพื่อนคนงานอีกคนอยู่ด้านหลังเครื่องส่วนนายแดง อยู่ด้านหน้าเครื่องกับคนงานอีกคน ทันใดนั้นตนก็ได้ยินเสียงร้องโอ๊ยดังลั่น จึงรีบวิ่งมาดูก็พบว่านายแดงฯ ถูกเครื่องซึ่งตัวบีบอัดพลาสติกเป็นระบบไฮดรอลิค บีบร่างนายแดงช่วงหลังกับหน้าอก จนเลือดออกปากและจมูก ตนจึงรีบวิ่งไปปิดสวิตช์ควบคุมทันที จากนั้นเพื่อนๆ คนงานได้มาดูและช่วยกันพยุงร่างที่อาบเลือดและหายใจรวยรินวางราบกับพื้น ก่อนโทรแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน 1669
หนึ่งในเพื่อนร่วมงานของผู้ตาย กล่าวอีกว่า จากนั้นไม่นานหน่วยกู้ชีพฯ และกู้ภัยฯ ก็มาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พยายามช่วยกันปั้มหัวใจแต่ก็ไม่ทันและนายแดงฯ ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนสาเหตุคาดว่าผู้ตายได้ทำการตั้งเวลาของเครื่องแต่คงอาจจะเผลอลืมโดยเอื้อมมือเข้าไปหยิบเศษแกลลอนที่ติดก่อนจะถูกตัวอัดบีบเข้าลำตัวจนแน่นและทำให้เกิดเหตุสลดดังกล่าว
ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการ ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน พร้อมกับจะได้เชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ไปทำการสอบสวนเพื่อหาสาเหตุว่าเกิดจากความประมาทหรืออุบัติเหตุต่อไป.