งานเคาต์ดาวน์ปีใหม่ที่ภูเก็ต มีข่าวจ้างนักร้องฝรั่ง มาร้องห้านาที ค่าเหนื่อยตั้ง 70 ล้าน นี่เป็นหนึ่งในความพยายามเรียกแขกเข้าเมือง...
แล้วก็ต้องมาลุ้นกันใหม่ เจ้าเชื้อโควิดตัวใหม่อาละวาดหนัก ความหวังจะเพิ่มนักท่องเที่ยวหายลงไปอีก
แต่ที่อัมพวา สมุทรสงคราม...เพื่อนแก้วของผม ส่งข่าวมา ที่วัดจุฬามณี ซึ่งเดิมทีผู้คนที่แวะเวียนไปกราบไหว้...ท้าวเวสสุวรรณ ก็เนืองแน่นวัดโดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์อยู่แล้ว
หลายวันเต็มที ผู้คนบ่าไหลไปกันล้นวัด ล้นขนาดรถต้องออกมาจอดซ้อนคันกันริมถนนใหญ่ ทางวัดก็สนองศรัทธาโยม เปิดวัด 24 ชั่วโมง
คุยๆกันว่ามีข่าวทางทีวีหรือทางออนไลน์ ก็ไม่รู้ว่ายักษ์วัดจุฬาฯให้หวยแม่น เอาล่ะ พอเป็นที่เข้าใจ เรื่องอะไรจะยั่วให้คนไทยแตกตื่นเท่าเรื่องคนถูกหวยรวยเบอร์...คงไม่มี
ผมนึกขึ้นได้ เดือนสองเดือนมานี่เอง “คุณแขก” เพื่อนคนหนึ่งโทร.หาคุยถูกผีอำ ผู้ใหญ่ที่นับถือแนะว่า ผีกลัวยักษ์ ให้ไปหาท้าวเวสสุวรรณติดตัวไว้
ดูจริตเพื่อนจะถกแถลงกันให้ถึงแก่น “ผีอำ” แก้ด้วยปัญญา หรือการสวดมนต์ก็จะเป็นเรื่องยาว ผมจึงยุให้ไปเช่าท้าวเวสสุวรรณ ที่วัดจุฬาฯซะเลย ใจจริงผมอยากจะบอกเมื่อกลัวผีก็มี ไม่กลัวผีก็ไม่มี...
แต่ฉุกคิดขึ้นได้ เรื่องผีสางนางไม้ไม่ใช่แค่คนไทยเชื่อมาแต่โบราณ ยิ่งความเชื่อเรื่องท้าวเวสสุวรรณด้วยแล้ว เชื่อกันมากว่าสองพันห้าร้อยปี นับแต่สมัยพระมหาชนก นั่งเรือสำเภามาค้าสุวรรณภูมิ แล้วเรือแตก นั่นปะไร
สมัยคนอินเดียมาค้าสุวรรณภูมิ เครื่องรางที่เขาพกติดตัวมาคือ “ซัมภล” คนภาคใต้เรียกท้าวชุมพล ความจริงก็คือท้าวกุเวร...ซึ่งก็คืออีกชื่อของท้าวเวสสุวรรณ หนึ่งในจตุโลกบาล ผู้รักษาโลกทางทิศเหนือ
...
ความเชื่อของคนยุคนั้น ไม่แค่เชื่อว่ามีไว้ป้องกันผี กันเภทภัย ท้าวชุมพลเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ใครมีไว้ช่วยเสริมดวงให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี
ดูเป็นเรื่องเก่าและไกลตัวมากไป ลองนึกถึงช่วงที่เห่อจตุคามรามเทพดีกว่า ชื่อเทพองค์นี้ ขุนพันท่านหลุดปากบอก...เค้าลางน่าจะมาจากเทวดาทิศหนึ่งในสี่ทิศที่ดูแลรักษาวัดพระมหาธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
เด็กรุ่นผม...เติบโตมาจากเปล ที่แม่ไกวและร้องเห่กล่อม นกเขาเอย ไข่ให้แม่กาฟัก...ฯลฯ สายเปลผูกใบตาล เขียนรูปยักษ์ถือกระบองใหญ่ หรือท้าวเวสสุวรรณ นัยว่ามีไว้ไล่ผีที่จะมารบกวน
เรื่องเล่าเหล่านี้พอจะชี้ได้ว่าเราคุ้นเคยกับยักษ์กระบองใหญ่ ท้าวเวสสุวรรณมานานเต็มที
อีกเรื่องเล่าผมเพิ่งอ่านเจอใน “เลาะวัง” ของจุลลดา ภักดีภูมินทร์ สำนักพิมพ์แสงดาว รวบรวมมาพิมพ์ใหม่เล่มใหญ่ ส่งมาปลายปี หนังสือสวย เหมาะเป็นของขวัญปีใหม่ เรื่องพระอารมณ์ขัน ในพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 3
เหตุเนื่องมาจากเวลาขุนนาง ข้าราชการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ยังพระที่นั่งไพศาลทักษิณ และรออยู่ที่ชานพัก มักจะบ้วนน้ำหมาก สั่งน้ำมูกเปรอะเปื้อน แถมยังทิ้งก้นบุหรี่ ใบตอง เศษพลู หมาก ยาจืด ยาฝอย ไม่เลือกที่
รัชกาลที่ 3 ก็คงจะทรงรำคาญ
จึงโปรดเกล้าให้เขียนรูปยักษ์ปู่เจ้าไว้ที่ฝาผนังชานพักทางด้านตะวันออก แล้วทรงพระราชนิพนธ์โคลงสี่สุภาพกำกับไว้ว่า
น้ำหมากน้ำมูกเฟื้อ ฝอยผง ไซ้นา อย่าถ่มอย่าเทลง ที่ห้าม มิฟังยักษ์จักปลง ชนม์ชีพ เสียนอ
ใช่ขู่แต่พอคร้าม ปู่เจ้าเอาจริง
สมัยหนึ่งไม่นานมานี้ เคยมีโฆษณา ชาวบ้านติดปาก “อ๊ะ...อ๊ะ...(อย่าทิ้งขยะ) ตาวิเศษเห็นนะ”
คนที่จำได้อย่าเผลอคิดว่าเป็นโฆษณาที่คิดขึ้นใหม่...สมัยรัชกาลที่ 3 ท่านทรงทำไว้แล้ว เพียงแต่ท่านไม่ได้ขู่ด้วยตาวิเศษ แต่ท่านขู่ด้วยยักษ์.
กิเลน ประลองเชิง