เกิดเหตุโยมบุกต่อยพระในวัดที่ราชบุรี หลังพากันมารักษาโรคที่พระลงโฆษณาในเฟซบุ๊ก เรียกเอาเงินค่ารักษา ค่ายา จนหมดตัว แต่สุดท้ายไม่หาย แถมไม่มีค่ารถจะกลับบ้าน ฝ่ายพระอ้างที่รักษาหายไปก็มาก ส่วนคนที่บุกชก ไม่ใช่คู่กรณี ไม่เคยมารักษา
เวลา 20.30 น. วันที่ 12 ก.พ. พ.ต.ท.บุญเอก สรรพคง สว.(สอบสวน) สภ.ปากท่อ จ.ราชบุรี รับแจ้งเหตุมีพระสงฆ์ ถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บภายในกุฏิ วัดหินสีสุวรรณาราม หมู่ 4 ต.ยางหัก อ.ปากท่อ จึงนำกำลังตำรวจจำนวนหนึ่งเดินทางไปตรวจสอบ
พบ พระมานิตย์ นาควโร อายุ 37 ปี พระลูกวัดหินสีสุวรรณาราม มีบาดแผลถูกของมีคมบาดที่บริเวณข้อศอกแขนซ้าย เย็บแผลแล้ว 9 เข็ม พร้อมกับพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูกุฏิที่พัก มีร่องรอยการต่อสู้ รอยเลือดหยดหลายแห่ง และมีขวานยาวประมาณ 1 ศอก เปื้อนเลือดตกอยู่ 1 เล่ม
พระมานิตย์ ให้การว่าจู่ๆ ได้มีชายทราบชื่อภายหลัง นายเอกรินทร์ คงมิยา อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 133 หมู่ 4 ต.ยางหัก มีอาการเมาสุรา บุกเข้ามาในกุฏิขณะตนกำลังพักผ่อน แล้วพูดว่า “รักษาใคร” พร้อมกับตรงเข้าชกใบหน้า และลำตัวตนเองหลายครั้ง ตนพยายามต่อสู้ นายเอกรินทร์ คว้าขวานที่อยู่ใต้ที่นอนของตนมาขู่ว่าฟันซะดีมั้ย จนเกิดการยื้อแย่งกัน ทำให้ตนถูกคมของขวานบาดที่ศอกซ้าย ขณะต่อสู้ได้มีชาวบ้าน และพระสงฆ์ในวัดมาห้ามปราม ตนจึงไปทำแผลที่รพ.สต.ใกล้เคียง
ต่อมา ตำรวจสามารถจับกุมนายเอกรินทร์ไว้ได้ ขณะเดียวกันได้มีชาวบ้านเกือบ 10 คน ทั้งชาย และหญิง เดินทางมาที่วัด พร้อมกับกล่าวว่า พระมานิตย์ นั้นหลอกลวงญาติโยม อ้างว่าสามารถรักษาโรคสะเก็ดเงินได้ แต่มีชาวบ้านมารักษาและถูกเรียกเงินหลายพันบาทแล้วไม่หาย ทางตำรวจจึงนำตัว พระมานิตย์ และนายเอกรินทร์ ไปสอบสวนที่ สภ.ปากท่อ โดยมีชาวบ้านส่วนหนึ่ง และนายบุญมา สาโนนสูง อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 หมู่ 4 ต.ขมิ้น อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของนายเอกชัย นนทะมาตย์ อายุ 30 ปี ผู้ป่วยที่มารักษา แต่ไม่ได้ผล และจ่ายเงินจำนวน 3,500 บาท ให้กับพระมานิตย์ จนเดือดร้อนไม่มีเงินค่าเดินทางกลับบ้าน ตามไปเพื่อแจ้งความเอาผิด พระมานิตย์ ข้อหาหลอกลวง
...
จากการสอบสวนเบื้องต้น นายเอกรินทร์ ให้การว่า ตนเองไม่พอใจที่ พระมานิตย์ อวดสรรพคุณลงโซเชียลทางเฟซบุ๊ก อ้างตัวรักษาโรคหลายอย่างได้ มีญาติโยมหลงเชื่อมารักษาต้องสูญเสียเงินแต่ไม่หาย ตนกลัวจะทำให้วัดเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะเป็นการหลอกลวงประชาชน จึงเข้าไปเพื่อพูดคุยกับ พระมานิตย์ ให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว แต่เกิดมีปากเสียงกัน เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น ทางตำรวจจึงตั้งข้อกล่าวหากับ นายเอกรินทร์ ที่บุกเข้ากุฏิ ในข้อหาบุกรุกเคหสถาน และทำร้ายร่างกาย
ขณะเดียวกันได้รับคดีที่นายบุญมา แจ้งความพระมานิตย์ ข้อหาหลอกลวงด้วย แต่ต่อมา ช่วงสายวันที่ 12 ก.พ. ได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ย โดยนายเอกรินทร์ ขอชดใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้พระมานิตย์ จำนวน 5,000 บาท แต่เป็นคดีอาญา จึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนคดีที่นายบุญมา แจ้งพระมานิตย์ว่าหลอกลวงนั้น พระมานิตย์ชดใช้เงินคืนให้ 2,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 1,500 บาท อ้างว่าเป็นค่ายาที่ทำไปแล้ว
ล่าสุด พระมานิตย์ ออกมาเผยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นว่า “อาตมารักษาโรคพวก ตาฟาง ต้อทุกชนิด แขนขาอ่อนแรง นิ้วล็อก มะเร็ง ความดัน เบาหวาน โรคสะเก็ดเงิน และโรคที่รับรักษาไปมีคนหายเยอะมาก ซึ่งรักษาด้วยวิธีสมุนไพร คนที่เอายาสมุนไพรไปทาก็ดีขึ้น ส่วนวิธีการรักษา อาตมาได้มาจากลุงที่เป็นหมอโบราณ หมอตำบลมีชื่อเสียง และรักษาคนเรื่อยมา ค่ารักษาอย่างเช่น เบาหวาน จะเป็นค่ายาอยู่ที่ประมาณ 600 บาท ยาสั่งที่ร้านสมุนไพร นำมาผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน โรคสะเก็ดเงินก็รักษาหาย ใช้ว่านหลายตัวรักษา หายมาหลายคนแล้ว คนที่เพชรบุรีเป็นมา 20 ปี อาตมาก็รักษาหายมาแล้ว ในกรณีที่มีการโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก คนที่รักษาหายเขาโพสต์ เพื่อเป็นวิทยาทานให้คนอื่นๆ เป็นทางเลือกในการรักษา”
พระมานิตย์ กล่าวต่อว่า บางคนสั่งยาไปทาน มีหายบ้าง ไม่หายบ้าง ส่วนมากจะหายเยอะ อาตมาเปิดรักษามาปีกว่าๆ โดยเปิดรักษาอยู่ 2 วัด คือวัดท่าเคย และวัดหินสี มีญาติโยมมารักษาหลายโรค มาจากต่างจังหวัดที่ไกลๆ ก็มี จากการบอกต่อกัน ส่วนมากจะเป็นโรคเบาหวาน ความดัน ไทรอยด์ พอได้ทานยาไปไม่กี่วันก็ดีขึ้นเลยบอกต่อกันไปทั่ว
ส่วนกรณีที่ นายเอกรินทร์ มาทำร้ายอาตมา และมีชาวบ้านส่วนหนึ่งมาขับไล่อาตมานั้น คิดว่าอาจจะไม่พอใจอะไรบางอย่าง ซึ่งอาตมาขอรักษาแผลให้หายก่อน แล้วอาจจะต้องย้ายไปอยู่ที่วัดท่าเคย ที่นิมนต์ให้ไปอยู่ก่อนหน้านี้ อาตมาขอยืนยัน อาตมาไม่เคยรักษาให้กับนายเอกรินทร์ จึงไม่รู้ว่าไม่พอใจเรื่องอะไร ส่วนช่วงตอนที่ถูกทำร้ายเมื่อคืนนั้น จู่ ๆ นายเอกรินทร์ ก็เข้ามาในกุฏิและจ้วงต่อยและเตะ แล้วเดินไปหยิบขวานที่หัวนอนของอาตมา จังหวะหลบไม่รู้ว่าไปโดนขวานตอนไหน พอดีออกมาข้างนอกได้ แล้วน้องชายออกมาห้าม เพิ่งรู้ตัวว่าถูกขวานบริเวณข้อศอกขวา
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่บ้านของนางสำลี ทองหวี อายุ 68 ปี บ้านเลขที่ 70 หมู่ 4 ต.ยางหัก มารดาของพระอธิการปรีดา อภิปุญโณ เจ้าอาวาสวัดหินสีสุวรรณาราม ซึ่งสงสารชาวบ้านที่มารักษาและสูญเสียเงินจนหมดตัว แต่การรักษาไม่เป็นผล ทำให้ไม่มีเงินเดินทางกลับบ้าน จึงให้คนที่ถูกหลอกทั้งหมด พักอาศัยอยู่บริเวณคอกวัวเป็นการชั่วคราว
นายธเนศ ประติสา อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66/1 หมู่ 26 ต.หนองแสง อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ให้รายละเอียดว่า ตนเองเป็นโรคสะเก็ดเงินรักษาไม่หาย แต่ได้พบข้อมูลทางเฟซบุ๊กว่า พระมานิตย์ สามารถรักษาโรคนี้ได้ จึงนั่งรถเมล์จากบ้านมหาสารคาม เพื่อรักษาตัว โดยมาถึงที่วัดเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา จนได้พบ พระมานิตย์ และรับรักษาให้ โดยการให้อาบน้ำมนต์ก่อน แล้วให้ยาลักษณะเป็นใบไม้ตำมาให้ตนเองทา ซึ่งทาง พระมานิตย์ ขอเงินค่ายาจำนวน 3,000 บาท จากนั้นอีก 2 วัน มาขอเก็บเงินค่ารักษาอีก 3,000 บาท รวมจ่ายค่ารักษาไปแล้ว 6,000 บาท จนตนเองไม่มีเงินเหลือแล้ว แต่จำเป็นต้องให้ไป เพราะทรมานกับโรคที่เป็นอยู่และคิดว่าสามารถรักษาตนให้หายได้จริง
“จนวันที่ 8 ก.พ.อาการไม่ดีขึ้น แถมถูกปล่อยทิ้ง ไม่มีเงินกินข้าว กระทั่งมาเจอนางสำลี ให้มาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว ต่อมานายบุญมา พาลูกเลี้ยงมารักษา และเจอกันที่นี่ พร้อมเล่าให้ฟัง ว่าลูกเลี้ยงทายาแล้วมีอาการเจ็บปวด จนตัวบวม เสียเงินไปแล้ว จนเงินหมด ไม่มีที่อาศัย จนนางสำลี มาให้อาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกัน จึงบอกไปว่า อย่าหลงเชื่อ เพราะพระมานิตย์หลอกลวง ซึ่งตัวเองเงินหมดแล้ว กลับบ้านไม่ได้ ตั้งใจว่าจะขอบวชที่วัดหินสีสุวรรณารามไปก่อน จากนั้นค่อยคิดต่อไป ว่าจะเอายังไงต่อ” นายธเนศ กล่าวอย่างน่าสงสาร
...