ได้ถ่ายบัตรประชาชนครั้งแรกในวัย 44 ปี หลังได้สิทธิ์ประชาชนไทยคืนให้ "พี่จุก" หญิงชาว อ.บ้านแหลม ถูกไกด์สาวชาวจีนแสบแอบอ้างสวมบัตรทำบัตรมัคคุเทศก์ จนไม่สามารถใช้สิทธิ์ใดๆ ของรัฐได้นาน 17 ปี

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ต.อ.ดุสิต วาลีประโคน ผกก.1 บก.ทท.3 พ.ต.ท.อภิรุ่ง เพียรมงคล สว.กก.3 บก.ทท.1 (ตำรวจท่องเที่ยวสนามบินสุวรรณภูมิ) พ.ต.ต.หญิง ณัชชารีย์ ศิริวารินทร์ สว.ฝอ.บก.ทท.2 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว นำ น.ส.ประทิน เกตุแก้ว หรือ จุก อายุ 44 ปี ชาวบ้าน หมู่ 1 ต.บางแก้ว อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เดินทางมายังสำนักทะเบียน ที่ว่าการอำเภอบ้านแหลม จ.เพชรบุรี ขอเข้าทำบัตรประจำตัวประชาชนเป็นครั้งแรก หลังจากถูกผู้หญิงชาวจีนสวมบัตรประชาชนของตนเอง เพื่อให้มีสัญชาติไทย และนำไปประกอบอาชีพเป็นมัคคุเทศก์ ส่งผลทำให้ นางสุทิน ซึ่งเป็นเจ้าของสถานะทางทะเบียนที่แท้จริง ได้สูญเสียสถานะทางทะเบียนราษฎร และไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ไม่สามารถใช้สวัสดิการใดๆ ของรัฐได้มานานจนถึงอายุ 44 ปี

พ.ต.ท.อภิรุ่ง กล่าวว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2562 ขณะที่ตน พร้อมด้วย พ.ต.ต.หญิง ณัชชารีย์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ปฏิบัติหน้าที่ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ทำการตรวจบัตรของมัคคุเทศก์ และพบไกด์ทัวร์จีนหญิงคนหนึ่งที่ใช้บัตรมัคคุเทศก์ชื่อ น.ส.ทรรศนีย์ เอี่ยมศรี หรือ ปทุม มีลักษณะต้องสงสัยพูดภาษาไทยไม่ชัด เขียนภาษาไทยไม่ได้ และมีการขอทำบัตรประชาชนไทยครั้งแรกเมื่ออายุ 27 ปี ซึ่งผิดปกติวิสัยที่คนไทยต้องทำบัตรประชาชนตามกำหนด อายุ 15 ปี จึงได้นำเรื่องเข้ามาตรวจสอบทางทะเบียนราษฎรตามบัตรประชาชน

...

สว.กก.3 บก. ทท.1 กล่าวต่อว่า ต่อมาตรวจสอบเลขบัตรประจำตัวประชาชน พบว่า มีชื่อในภูมิลำเนา อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี แต่เมื่อสืบสวนเชิงลึกสอบสวนชื่อบิดา-มารดาตามที่ปรากฏในทะเบียนราษฎร และญาติ กลับไม่มีผู้ใดรู้จัก และเมื่อสอบสวนถึงใบหน้าบิดา-มารดา ตามที่ปรากฏในทะเบียนราษฎร ไกด์ทัวร์จีนหญิงก็ไม่รู้จัก ตรวจดีเอ็นเอก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงทำการสอบสวนอย่างละเอียด และไกด์ทัวร์จีนหญิงคนดังกล่าว ได้สารภาพว่าเมื่อปี 2546 ได้ติดต่อกับเอเย่นต์รายหนึ่ง เพื่อให้ดำเนินการสวมสิทธิ์ และทำบัตรประชาชนไทย เพื่อให้มีสัญชาติไทย และนำไปประกอบอาชีพเป็นมัคคุเทศก์ ปัจจุบันผ่านมา 17 ปี จึงไม่สามารถจำหมายเลขโทรศัพท์ ชื่อ หรือใบหน้าเอเย่นต์รายดังกล่าวได้

พ.ต.ท.อภิรุ่ง กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวทำให้ น.ส.สุทิน เจ้าของสิทธิ์ตัวจริงได้สูญเสียสถานะทางทะเบียน และไม่มีบัตรประชาชนจนมาถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวจึงทำการจับกุม เพื่อดำเนินคดีทางกฎหมาย กระทั่งคดีสิ้นสุดลง สำนักทะเบียนกลางได้เพิกถอนสถานะทางทะเบียนของผู้ต้องหา และดำเนินการคืนสถานะทางทะเบียนที่แท้จริงให้แก่ผู้เสียหาย โดยเปลี่ยนชื่อจาก น.ส.สุทิน มาใช้ชื่อทางทะเบียนที่แท้จริง ซึ่งผู้ต้องหาจีนนำไปใช้ก่อนหน้านี้ คือ น.ส.ปทุม เอี่ยมศรี

ด้าน น.ส.ประทิน หรือชื่อใหม่ คือ น.ส.ปทุม ในปัจจุบัน กล่าวว่า เมื่อแรกเกิดมารดาคลอดตนออกมา นายสะเทื้อน เอี่ยมศรี อายุ 71 ปี ผู้เป็นบิดาของตนได้ไปแจ้งการเกิดของตนกับกำนันในขณะนั้น โดยไม่ได้แจ้งมารดาหรือญาติผู้ใดให้รับรู้ และบิดาของตนก็ไม่ได้ไปติดตามเรื่องว่ากำนันได้ส่งเรื่องการแจ้งเกิดไปทางอำเภอบ้านแหลมหรือยัง ประกอบกับต่อมา บิดาแยกทางกับมารดา ตนกับมารดาจึงไม่ทราบว่ามีการแจ้งเกิดชื่อตนไว้แล้ว และไม่ได้ดำเนินการใดๆ ต่อ กระทั่งเมื่อถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน ลุงกับป้าที่เลี้ยงดูตนมาได้พาไปสมัครเรียน แต่เมื่อตรวจสอบทางทะเบียนราษฎรกลับไม่มีชื่อของตน เมื่ออายุครบ 15 ปี ตนได้มาติดต่อขอทำบัตรประจำตัวประชาชน ก็ไม่สามารถทำได้ จึงไม่เคยได้รับสิทธิ์ใดๆ ของรัฐ

“ที่ผ่านมา ตนน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ถึงสาเหตุว่าทำไมถึงทำบัตรประชาชนไม่ได้ ทั้งที่มีหลักฐานการเกิด ได้แต่ปลงคิดว่าในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็จะอยู่อย่างนี้ไปจนตาย จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวมาแจ้งว่าสามารถจับคนร้ายได้ จึงรู้ความจริงว่าถูกสวมสิทธิ์ วันนี้ตนได้สถานะทางทะเบียนราษฎรประชาชนไทยคืน ทำบัตรประชาชนได้ และได้สิทธิ์ต่างๆ คืนมา ตนรู้สึกดีใจมาก จากนี้ไปจะได้ใช้สิทธิ์ของรัฐได้เหมือนอย่างคนอื่นต่อไป”