ดีเอสไอแอบคุยทีมสืบตำรวจภาค 7 ชุดคลี่คลายการหายตัวไปของกะเหรี่ยงบิลลี่ พบข้อมูลสอดคล้องกัน เข้าหลักเกณฑ์ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง ขณะที่รองโฆษก ตร. เผยเด้งดาบเท่งสืบภาค 7 เข้ากรุแล้ว หลังเป็นประเด็นโทร.ขู่เมียลูกน้องเก่าชัยวัฒน์ให้ซัดลูกพี่เป็นตัวการฆ่า ชี้ผลสอบ ผิดวินัยจริงแต่ไม่ร้ายแรง เป็นการคุยในลักษณะสนิทสนมไม่ใช่ขู่บังคับ ขณะที่ ป.ป.ท.โอนสำนวน คดี “บิลลี่” ถูกอดีต หน.แก่งกระจานจับคดีลอบขนน้ำผึ้งป่า แต่ไม่ส่งตำรวจ ให้ดีเอสไอ-ป.ป.ช.ชี้มูลต่อ ส่วนนายกฯกำชับดีเอสไอดูแลคดี “บิลลี่” ด้วยความเป็นธรรม
ความคืบหน้าการคลี่คลายคดีฆ่าเผานายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ยัดถังน้ำมัน 200 ลิตร ถ่วงน้ำเขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่ดีเอสไอรับมาสอบสวนเป็นคดีพิเศษหลังการหายตัวไปอย่างปริศนา 5 ปี โดยเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 10 ก.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) พ.ต.ท.วันนพ สมจินตนากุล เลขาธิการ ป.ป.ท. พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนายบิลลี่ หรือพอละจี รักจงเจริญ ร่วมแถลงข่าวหลังประชุมหาข้อสรุปของคดี ใช้เวลาในการประชุม 2 ชั่วโมง พ.ต.ท.วันนพเผยว่า ผลประชุมสรุป ป.ป.ท.มีมติไม่รับสอบสวนคดีนายบิลลี่ ให้ส่งสำนวนสอบสวนทั้งหมดไปกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ ป.ป.ช. เพื่อมีมติชี้มูลต่อไป
โดยมีความเห็นว่าปรากฏข้อเท็จจริงจากสำนักงาน ป.ป.ช. ตามหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ลงวันที่ 12 ก.ค. 62 แจ้งว่าสำนักงาน ป.ป.ช. ได้รับเรื่องกล่าวหานายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวกจากดีเอสไอว่า กระทำความผิดฐานทุจริตหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีไม่เปรียบเทียบปรับ และไม่นำตัวนายบิลลี่ ผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.อุทยาน พ.ศ.2504 พร้อมของกลาง ส่ง สภ.แก่งกระจาน ในคดีลักลอบขนน้ำผึ้งป่า เพราะมีสาเหตุโกรธแค้นกับนายบิลลี่มาก่อน
...
พ.ต.ท.วันนพเผยอีกว่า วันที่ 27 ธ.ค.61 สำนักงาน ป.ป.ช.มีมติส่งเรื่องให้ดีเอสไอดำเนินการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 61 วรรค สอง และส่งเรื่องให้ดีเอสไอไปแล้ว ประกอบกับคณะกรรมการ ป.ป.ท. พิจารณาแล้ว น่าเชื่อว่าจะมีความผิดอาญาอื่นรวมอยู่ด้วย ไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ท.ให้ส่งสำนวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาส่งให้ดีเอสไอดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พ.ต.ท.สิริพงษ์กล่าวว่า ป.ป.ท.รื้อคดีนี้ขึ้นมาสอบสวนก่อนดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษ พบว่าคดีค่อนข้างมีอุปสรรค ซับซ้อน และมีความพิเศษ โดยให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย คือเจ้าหน้าที่อุทยาน และครอบครัวนายบิลลี่ ที่ผ่านมาสอบพยานไปกว่า 30 ปาก รวมถึงส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่หาข้อมูลเชิงลึก เปิดให้ทั้ง 2 ฝ่ายสืบพยานอย่างเต็มที่ แต่คดีนี้มีความท้าทาย เป็นการไต่สวนกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท รวมถึงเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ ป.ป.ท.ไม่มีอำนาจ ต้องทำคดีอย่างรอบคอบ ยืนยันคดีไม่ได้ล่าช้า เพราะดำเนินการเสร็จสิ้นตั้งแต่ปลายปี 59 แต่ฝ่ายผู้เสียหายยื่นให้สอบพยานเพิ่มเติม และเสนอความเห็นไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ท. จากนั้นคณะกรรมการป.ป.ท.สั่งให้ไต่สวนเพิ่มเติม ระหว่างนั้นในปี 61 ดีเอสไอขอรับเป็นคดีพิเศษ ป.ป.ท.ประสานงานร่วมกับดีเอสไอมาตลอด กระทั่งดีเอสไอแถลงพบโครงกระดูกนายบิลลี่ คณะทำงานป.ป.ท.มีมติให้ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. หลังจากนี้จะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของดีเอสไอ ไม่ว่าจะเป็นความผิดอาญาทั่วไป หรือความผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
วันเดียวกัน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงกรณีนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 จ.อุบลราชธานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มอบอำนาจให้ตัวแทนเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองอุบลราชธานี กรณีมีผู้อ้างเป็นตำรวจภูธรภาค 7 ข่มขู่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อดีตผู้ใต้บังคับบัญชานายชัยวัฒน์ เพื่อให้การปรักปรำนายชัยวัฒน์ว่าเป็นตัวการฆ่านายบิลลี่ โดยสัญญาว่าจะกันตัวไว้เป็นพยาน ถ้าไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าว
โดยได้รับรายงานในประเด็นนี้ว่า พล.ต.ท.ธนา ชูวงษ์ ผบช.ภ.7 มีคำสั่งให้ บก.สส.บช.ภ.7 ตรวจสอบข้อเท็จจริง และรับฟังเป็นข้อยุติได้ส่วนหนึ่งว่า ด.ต.พงศ์ษาวดี หรือเท่ง ไทยกูล ผบ.หมู่ กก.สส.1 บก.สส.ภ.7 เกี่ยวข้องและให้การยอมรับได้โทรศัพท์คุยกับนางรัตน์ดาวรรณ หรืออร บุษราคัม ภรรยานายบุญแทน บุษราคัม อดีตเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ข้อเท็จจริงการพูดคุยตามที่ปรากฏทางสื่อ มีลักษณะพูดคุยซักถามในฐานะคนรู้จักสนิทสนม มากกว่าการข่มขู่ตามที่ถูกกล่าวหา กระทำมีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง ในความผิดฐานกระทำการหรือละเว้นการกระทำการใดอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการ หรือทำให้เสียระเบียบแบบแผนของตำรวจ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ประกอบกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสอบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2556 โดย พล.ต.ต.สงวน โรงสะอาด ผบก.สส.ภ.7 มีคำสั่งให้ ด.ต.พงศ์ษาวดี ไปปฏิบัติราชการยัง ศปก.บก.สส.ภ.7
ขณะที่การทำงานคลี่คลายคดีทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีรายงานว่า พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เร่งรัดให้สอบปากคำพยานแวดล้อมเพิ่มเติม โดยนัดหมายชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ที่ทำคดีนี้เดิม ได้หลักฐานเป็นภาพวงจรปิดรถของเจ้าหน้าที่อุทยานฯในคืนเกิดเหตุที่อ้างว่าควบคุมนายพอละจี แล้วนำไปปล่อยใกล้บ้านพัก ตามคำให้การที่ให้ไว้กับทีมสอบสวนภูธรภาค 7 ชุดดังกล่าวจากการเรียกสอบเจ้าหน้าที่อุทยานฯชุดจับกุมนายบิลลี่มาสอบปากคำ ทั้งหมดให้การขัดแย้งกัน ไม่ว่าจะเป็นระยะทางหรือจุดปล่อยตัว ผิดวิสัย จนท.อุทยานฯที่ต้องคำนวณระยะทางค่อนข้างแม่นยำในป่าที่คุ้นเคย รวมทั้งพยานที่เป็นนักศึกษาฝึกงาน 2 คนที่นายชัยวัฒน์อ้าง ได้กลับคำให้การว่าไม่ได้เห็นการปล่อยตัวจริง
นอกจากนี้ ชุดสอบสวนดีเอสไอ กองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมทีมนิติวิทยาศาสตร์ ยังตรวจสอบรถของ จนท.อุทยานฯ ที่ชุดสืบสวนตำรวจภาค 7 อายัดและนำไปเก็บรักษาไว้ที่ สภ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี พบคราบเลือดที่พรมและเก็บตัวอย่างไว้ ก่อนตามแกะรอยจนพบจุดทิ้งศพนายบิลลี่ที่ใต้สะพานแขวนในอุทยาน หลักฐานที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 7 รวมทั้งพยานหลักฐานในมือดีเอสไอ ทั้งพยานแวดล้อม ภาพจากกล้องวงจรปิด พยานทางนิติวิทยาศาสตร์ค่อนข้างเชื่อมโยงกัน พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานพอที่ขอศาลออกหมายจับผู้ต้องสงสัย เพราะเข้าหลักเกณฑ์ขอออกหมายจับ
...
ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งสอบสวนคดีของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ และนำผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีพร้อมชดเชยผู้เสียหายและครอบครัว
รวมทั้งออกกฎหมายตามหลักสากลและลงสัตยาบรรณในอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องอันเนื่องมาจากคดีของบิลลี่ว่า ในฐานะที่กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้กำชับไปแล้วว่า ให้ตรวจสอบให้เกิดความยุติธรรม เที่ยงธรรม ต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ไม่ว่าใครตามที่ทำผิดกฎหมายจะต้องถูกลงโทษ ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทุกประการ “ผมไม่เข้าข้างใครอยู่แล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน ให้ดีเอสไอดำเนินการให้เต็มที่ ในส่วนของต่างประเทศที่เรียกร้องมา เรารับฟัง ทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายไทยทุกประการ การไปเร่งรัดให้ทำเร็วๆ บางทีเป็นการกดดันเจ้าหน้าที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ขอให้เวลาเจ้าหน้าที่ดำเนินการ และทราบว่าวันที่ 12 ก.ย. จะมีการเยียวยาก่อน ส่วนเรื่องการต่อสู้ต่างๆ มีกองทุนยุติธรรมที่ดูแลอยู่”